Monday, October 20, 2008

ภาพแขวนผนัง Blog

เมื่อแสงวาดลายด้วยหมีกเงา

เดินตามซอกซอยในเมือง จับภาพ มุมนั้นนิดมุมนี้หน่อย
พอที่อุณหภูมิในร่างกายยังอุ่นพอให้ทนกับการตะลอนเดินเก็บภาพ
แดดสวย ที่สาดอยู่ในเวลานั้น มันให้ความอุ่นได้แค่สายตาที่มอง
แต่มันไม่ได้ทำให้ร่างกายอุ่นเร้ย.... (สั่นหงีกหงั่กๆ )

กลับมาบ้านจับภาพใส่เฟรม ขอเอามาประดับประดาผนังบล็อกของเราเสียสักหน่อย
ให้พองาม หลังจากไม่ได้อัพมาซะนาน....





Sunday, August 17, 2008

เมล็ดพันธ์ุแห่งปัญญาได้ถูกโปรยหว่านแล้วในไอซ์แลนด์


ุคุณแม่ กับน้องจ๋าที่พักอาศัยอยู่ในไอซ์แลนด์

การเยี่ยมเยือนชาวไทยในประเทศไอซ์แลนด์ครั้งแรกครั้งนี้ของแม่ชีศันสนีย์ เป็นเรื่องน่ายินดีและปลาบปลื้มเป็นของพวกเรายิ่งนัก คุณแม่รับหน้าที่เป็นวิทยากรปฏิบััติธรรมในวันแม่ ถ่ายทอดแก่นของพุทธศาสนาได้อย่างลีกซี้งแต่เข้าใจง่าย และเพลิดเพลินทีเดียว จากการได้ฟังคุณแม่สนธนาธรรมให้แก่พวกเราได้ฟังนั้น มันเป็นอะไรที่ ไม่สามารถที่จะพลาดสักคำในทุกคำพูดของคุณแม่ เแต่ละคำมีความหมาย แต่ละคำถ่ายทอดออกมาจากจิตจากใจที่นุ่มนวลและเมตตา แต่ละคำได้มาจากการเรียนรู้และศึกษาอย่างถ่องแท้ ทุกคำพูดมีนัยยะแอบแฝงให้คิด ให้เข้าใจ ให้ความชัดเจน การได้เฝ้าดูทุกอิริยาบถของคุณแม่ มันเป็นภาพที่สวยงาม ท่านเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในใจเรา ไม่ใช่จากการได้ยินชื่อเสียงของท่าน แต่จากการได้เห็นการทำงาน การเสียสละ มันทำให้เกิดศรัทธาแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆเลย

เมื่อได้พบเจอกับคุณแม่ ก็ตั้งคำถามขี้นในใจว่า อืมคุณแม่เป็นบุคลที่เป็นที่รู้จักและเคารพศรัทธาของคนมากมาย แต่กับการได้พบในครั้งนี้ ในทุกอิริยาบถ ภาพตรงหน้าที่ได้เห็น เป็นเหมือนผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนี่ง ช่างอ่อนน้อม ถ่อมตน สุภาพ แต่ข้้างในนั้นมีพลังแห่งการให้ยิ่งใหญ่นัก
คงจะอย่างที่คุณแม่กล่าวไว้ว่า ต้องเป็นคนที่ตัวเล็กที่ทำงานใหญ่ มันคงจะมีความหมายที่ตรงกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้านี้

คุณแม่ได้ให้โอวาทแด่คนไทยในวันที่มีการปฏิบัติธรรมกันที่นี่ มีผู้คนที่มากันอย่างอบอุ่น ไม่มากและไม่น้อยเกินไป ที่ทำให้พวกเราได้ใกล้ชิดได้ทั่วถึงกันทุกคน นับเป็นความโชคดีจริงๆ นี่ถ้าอยู่กรุงเทพฯคงมีโอกาสเจอท่านได้ยาก เคยไปที่เสถียรอยู่หนหนี่งก็ไม่เคยเจอไม่คิดว่าจะได้มาพบท่านในดินแดนที่ไกลจากบ้านเกิดเช่นนี้

ขอเล่าในคำสอนของคุณแม่ในวันนั้นอาจจะไม่ได้ตรงทุกถ้อยคำแต่ก็เท่าที่จำประเด็นหลักๆได้
คุณแม่แนะนำและเน้นยำ้ไปที่ การกำหนดลมหายใจ เพื่อที่ให้เราได้มีความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ตื่น เบิกบานกับปัจจุบันขณะ หรือ Here and Now อดีตหรืออนาคตไม่ได้มีบทบาทเท่ากับปัจจุบันในขณะนี้ อีกทั้ง ยังให้รู้จักถึงการคืนไม่ฝืนไว้ ถ้าทุกคนเข้าใจและปฏิบัติได้เช่นนี้ เราจะเป็นคนที่รอดพ้นจากพายุกิเลส ไม่ว่ามันจะมาถี่หรือแรงแค่ไหน มันก็ไม่ได้ทำร้ายเราได้มากนัก
หากยังได้กล่าวเน้นถึงคุณค่าของการเป็นพ่อแม่ที่มีสัมมาทิฎฐิ ในการสร้างโลกในครรภ์ให้กับลูก ด้วยการสื่อสารสัมผัสที่โอ่นโยนและเมตตา อบรมเลี้ยงดูให้เจริญวัยด้วยความรักและความเข้าใจที่ถูกต้อง

นอกจากคำสอนที่ ลึก และ ซึ้ง นั้น ยังบวกกับกิจกรรมที่ให้ความผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ กับการทำลีลาประกอบเพลงดั่งดอกไม้บาน ทำให้ร่างกายได้มีการยืดหยุ่นในขณะปฏิบัติ และเฝ้าดูตามลมหายใจ ทุกคนได้พร้อมใจกันปฏิบัติตามด้วยความเพลิดเพลินสนุกสนาน เป็นลีลาที่น่ารักและพร้อมเพรียง ส่วนประโยชน์และแก่นที่ได้ค้นพบคือ ขณะที่ร่างกายได้ยืดเส้นสายเพื่อการออกกำลังกายนั้น ในเวลาเดียวกันก็ได้ออกกำลังใจด้วยการนิ่งสงบอยู่กับลมหายใจที่เนียนละเอียด และกับอีกกิจกรรมหนี่ง การนวดเพื่อการให้ อืม... อันนี้ทำให้เราเข้าใจประเด็นของการให้ได้อย่างชัดเจนมากๆ นับเป็นความชาญฉลาดในวิธีการ ที่ทำให้พวกเราเข้าใจและเข้าถึงได้อย่างง่าย

อย่างที่ได้บอกไว้ คำพูดของคุณแม่ทุกคำมีคุณค่าและความหมายที่ลึกซี้งเกินกว่าจะพลาดไปได้สักคำ ความศักดิ์สิทธิ์ของคำสอนอยู่ที่ศรัทธาและปฏิบัติ คุณแม่เคยกล่าวไว้ว่าไม่มีอะไรเกิดขี้้นมาด้วยความบังเอิญ ทุกอย่างมีกรรมและผลของกรรมทั้งสิ้น ผลกรรมวันนี้ ได้มาจากเมื่อวานหรือวันก่อนๆ คุณแม่เปรียบกรรมชั่วดังเกลือ ที่มันเค็มเพราะเราทำและสร้าง ถ้าวันนี้ยังสร้างเกลืออยู่มันก็ยังคงเค็ม ให้เติมน้ำดีลงไปโดยการทำกรรมดี แม้เกลือที่เราเคยสร้างมันยังเค็มอยู่แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีน้ำดีไปเจือไม่ให้มันเค็มไปกว่านี้ เห็นมั๊ยภาพชัดเจนมากๆ

นอกจากเนื้อหาที่ได้จำประเด็นมาทั้งหมดนี้ หากได้รับฟังด้วยหูด้วยใจตนเอง จะได้รู้ว่าคำพูดที่คุณแม่เอ่ยมานั้นนอกจากได้เอื้อประโยชน์และชี้ทางแล้วยังไพเราะในถ้อยคำและน้ำเสียง ซี่งแม้ในช่วงเย็นของวันที่ปฏิบัติธรรมในวันนั้น เสีียงของคุณแม่เริ่มแผ่วและแหบแห้ง แต่พลังภายในคุณแม่ยังคงหนักแน่นและแน่วแน่
สิ่งที่เอ่ยมาทั้งหมดนี้ เป็นการน้อมใจชื่นชมคุณแม่ด้วยศรัทธา มิได้เกิดจากการฟัง และได้ยินมาเท่านั้น แต่มันได้ผ่านและสัมผัสตัวตนและความคิดของคุณแม่ในภาพที่อยู่ตรงหน้าในวันนั้น

ขอขอบพระคุณคุณแม่ที่ได้นำเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญามาโปรยหว่านไว้ณ ดินแดนแห่งนี้
เราจะรดน้ำพรวนดินให้พันธุ์ไม้แห่งปัญญานี้เติบโต และอบอุ่น
ต่อหนาวจัดมืดนานขนาดไหน พี่ไทยเราก็มิหวั่น..

กราบขอบพระคุณ พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปแห่งวัดไทยไอซ์แลนด์ ที่ได้เชื้อเชิญ ผู้โปรยหว่านเมล็ดพันธุ์มาถึงที่นี่

เหนืออื่นใด ของก้มกราบขอบพระคุณองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านได้มอบสาวิกามาสู่โลก สู่ชาวพุทธ และมวลมนุษยชาติ ในทุกดินแดนบนผืนโลกใบนี้

ธรรมสวัสดี

________________________________________
ต่อนิด ...

สิ่งดีๆสิ่งสุดท้ายของวันปฏิบัติธรรมที่เกิดขี้นในวันนั้น
ก่อนกลับบ้านพบเจอเด็กหญิิงตัวน้อยๆสองคนนั่งเล่นกันอยู่อายุราวๆไม่เกินห้าขวบ พอเดินผ่านเด็กหญิงคนหนี่งก็ถามอะไรสักอย่างเป็นภาษาไอซ์แลนด์ ฟังไม่ออก เลยตอบไม่ได้ก็เลยถามกลับเป็นภาษาไอซ์แลนด์เท่าที่เรียนมาตอนชั้นป.1 ว่า ชื่ออะไร เด็กก็ตอบมา แล้วก็ถามต่อไปว่า บ้านอยู่ที่ไหน เด็กก็ตอบกลับมาอีก ฟังไม่ออกทั้งสองคำตอบ(ฮ่าๆ) สักพักเด็กหญิงคนเดิมก็ถามกลับมาว่าบ้านเราอยุ่ที่ไหน ก็เลยบอกชื่อสถานที่ไป เด็กทั้งสองคนมองหน้ากันพากันงงกับคำตอบ ไม่ใช่เพราะไม่รู้จักสถานที่ที่บอกไปหรอก เราเดาได้ว่าหนูน้อยทั้งสองคงฟังไม่ออกจากสำเนีียงที่เราบอกไปเป็นภาษาไอซ์แลนด์ไป สื่อสารกันไม่ได้ แต่ตอนนั้นรับรู้ได้ว่า ใจเราถึงกัน สักพักก็ละออกมาจากเด็กหญิงตัวน้อยกล่าวลา บ๊าย บาย เดินมาได้สักสองสามก้าวเด็กหญิงอีกคน ตะโกนบอกว่าว่า เบรสๆ(บ๊ายๆ)อีกรอบ พร้อมโบกไม้โบกมือมาให้ กับรอยยิ้มที่น่ารักที่ซู๊ด โห..ชื่นใจอะไรเช่นนี้ ขอบคุณคุณแม่อีกครั้งที่ได้เปิดหัวใจของเราในวันนี้ให้กว้างขี้น จนได้รับและมองเห็นอะไรเล็กๆน้อยๆแต่ใหญ่โต๊ ใหญ่โต ในใจ (^ ___^)
___________________________________________
อีกนิดส์...จริงๆ

เป็นสิ่งหนี่งที่ไม่อยากบอกแต่อดมิได้(ฮ่าๆ)
ภาพยนต์ของคุณแม่ A walk of wisdom นำมาเปิดให้พ่อหนุ่มข้างกายชาวไอซ์แลนด์ดู ไม่น่าเชื่อว่าได้ทำให้พ่อหนุ่มคนนี้ซาบและซึ้งจนแอบน้ำตาซึมเป็นระยะในขณะที่ชม (แอบเห็นมา (^_^) )

ว่าแล้วมาฝึกลมหายใจการดีกว่า






....

Wednesday, June 11, 2008

A journey to the center of the earth


ขอนำชื่อหนังสือเล่มหนี่งมาพาดหัวเรื่อง เป็นนวนิยายที่ประพันธ์โดย นักเขียนชาวฝรั่งเศส นามว่า Jules verne โทษทีสะกดด้วยคำไทยไม่ถูกจริงๆ จูลส์ เวียน หรือไรเนี่ยแหละ

ที่ได้นำชื่อเรื่องมาเกี่ยวข้องด้วยนี้นั้น เพราะเพิ่งได้ไปเยี่ยมชมสถานที่ๆหนี่ง ที่ต้องทำให้นึกถึงชื่อของหนังสือเล่มนี้

เพราะเรื่องราวของหนังสือผจญภัยในแนว science fiction นี้ ได้นำเอาสถานที่ที่ไปแอ่วมา มาเป็นจุดเริ่มต้นเล่าเรื่องในนวนิยาย โดยการผจญภัยเริ่มต้นที่ดินแดนแห่่งหนี่งชื่อว่า snæfellsjökull (อ่านว่า สไนเฟลเยือเริ่มต้นกคึร์ )เป็นชื่อภูเขาธารหิมะแห่งหนี่งในไอซ์แลนด์ ตั้งอยุ่ที่ปลายแหลมๆหนี่งที่ยื่นไปในทะเล ทางด้านตะวันตกของประเทศ ในการเดินทางในนิยายคือดำดิ่งเข้าไปสู่ใจกลางภูเขาลูกนี้ไปสู่ใจกลางลึกของโลก ระหว่างทางก็มีการประสบกับเหตุการณ์ต่างๆตามแนวหนังผจญภัย ไปตลอดทั้งเรื่องราว...

มาที่การเดินทางของเรากันดีกว่ากับเรื่องจริงไม่อิงนิยาย

Snæfellsjökull...
แปลตรงๆตัวคือ ภูเขาหิมะธารน้ำแข็ง เป็นภูเขาไฟที่เคยเกิดประทุขี้นเมื่อคริสตศักราชที่ 200 แล้วก็สงบนิ่งเช่นนี้มานานกว่าเกือบสองพันปี

เคยได้วางแผนกับคนข้างเคียงหลายครั้งแล้วว่าจะไปที่Snæfellsjökull แต่ก็ไม่ได้โอกาสเหมาะเสียที กับวันนี้ ตอนเริ่มบ่ายคล้อยๆ หันหน้้าละสายตาจากเครื่องคอมพิวเตอร์กันทั้งคู่ แล้วก็เสนอไอเดียกันว่าน่าจะไปที่ไหนสักที่เถอะเพื่อสูดอากาศภายนอกพักสายตาจากเจ้ามอนิเตอร์ซะที ไม่งั้นก็นั่งจมกันอยู่แบบนี้ตลอดบ่ายเป็นแน่แท้

ว่าแลัวก็ตกลงกันว่าไปที่ๆเราหมายปองกันไว้ดีกว่า คาดว่าขับรถคงใช้เวลาไปกลับแค่สี่ชั่วโมง ตอนแรกๆต่างคนก็ต่างลังเลกันเพราะมองไปที่ท้องฟ้า มีเมฆหนาลอยไปลอยมากวนสายตาอยุ่ แล้วเวลาในการเดินทางก็ไม่มากเพราะนี่ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสามแล้ว แต่ก็เอานะ เป็นไงเป็นกันวันนี้แหละ

อัดน้ำมันเต็มถังพร้อมลุย...

ระหว่างการเดินอย่างที่คาดการไว้ คืออากาศดีเป็นช่วงๆ แต่ส่วนใหญ่ท้องฟ้าจะค่อนข้างครี้ม มีแดดส่องมาในบางที่ประปราย ไม่จัดจ้าเท่าที่ควร แต่ก็ใครสนนะ คงต้องเที่ยวแบบไม่สนปัจจัยรบกวนต่างๆ ไม่งั้นสิ่งที่ตั้งเป้าหมายที่จะทำ คงคลาดเคลื่อนไปจากนี้อีก

ทุกอย่างอยู่ที่ใจเนอะ ฟ้าครี้ม ภายนอก แต่ข้างในใจตอนนี้ ครี้มใจ ดีนักที่ได้เดินทาง

ขอบรรยายบรรยากาศอย่างกระชับ(มากๆ)แล้วกันนะ อะแฮ่ม!
...ฝนตก..แดดออก..ฟ้าหม่น... ฝนตก...แดดออก..แวะทักกับแกะ...แวะถ่ายรูปกับม้า....

นั่งในรถไปนานๆ ทำไมมันยังไม่ถึงสักทีหว่า ไหนบอกว่า สองชั่วโมงไง พ่อตัวดี! นี่ปาเข้าไปสามชั่วโมงแล้วนะ พอเริ่มเลยชัวโมงที่สามของการเดินทางมาก็เห็นยอดวิปครีมรำไรๆ อา...คงที่นี่แหละในที่สุด ดินแดนที่นี่ตรงนี้ที่ได้ยินมาว่าคนไอซ์แลนด์เชื่อกันว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ยังไงนั้นไม่รู้ข้อมูลจริงๆไว้สืบมาให้ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้มา ตรงนี้หรือเปล่าหว่าที่เป็นความศักดิ์สิทธิ์

เมื่อมาถึงทางขี้นเขา เราก็ชั่งใจกันว่าอืม บิ๊กแจ๊สของเราจะกลายร่างเป็นรถ 4 wheels drive ได้หรือเปล่าก็ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี่นะ อะไรก็เป็นไปได้ สุดท้ายแล้วก็ไม่รอความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ 2 wheels drive บวกกับอีกสี่ขาเนี่ยแหละ ลองปีนดู

พอได้ขี้นมาบนเส้นทางจริงๆแล้วทางที่ปีนป่ายมาก็ไม่ได้โหดมากนัก คงมีสิ่งอำนวยหลายอย่าง อากาศดี ไม่มีลมโชกแรง พื้นถนนไม่เปียกแฉะ แต่ก็ยังขับไปเสียวไป แล้วก็ปีนมาถึงเกือบปลายยอดเขาจนได้ ที่นี่คงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์จริงๆอะนะ พารถบิ๊กแจ๊สของเรามาถึงเกือบทางขี้นถึงตรงนี้จนได้ แค่นี้ก็น่าภูมิใจแทนเจ้าตัวเล็กแล้ว


น่าเสียดายที่ปลายยอดวิปครีม(ปลายเขา) ถูกเมฆก้อนโต take over อยู่ คลุมมิดยอดเขาเชียว
แต่ยังดีที่มีวิวสวยๆอีกด้านมาปลอบใจ เพราะจากตรงจุดเดียวกันนี้กวาดสายตาไปอีกด้านรอบๆ ราวกับว่ามีภาพเพ้นท์สีผืนใหญ่จากจิตรกรฝีมือชั้นเยี่ยม ขึงพาดยาวตลอดแนว180 องศาของแนวขอบโลกเลยทีเดียวให้ชื่นชม

ขอพรรณาจากตาที่ได้เห็นให้ฟังหน่อยเถอะ

ท้องฟ้าถูกป้ายระบายกลมกลืนไปกับท้องมหาสมุทรอย่างไร้เส้นขอบฟ้ากั้นแนว
เมฆเกาะกันเป็นกลุ่มบ้าง กระจายบ้าง อย่างได้จังหวะ บ้างก็แผ่เป็นระลอกเต็มท้องฟ้าตามทิศทางแรงลม

ภาพเบื้องล่างพื้นแผ่นดินระนาบเดียวกับท้องมหาสมุทร ดูเป็นเหมือนอีกโลก ด้วยสีบรรยากาศในระยะไกลตัดกันกับจุดที่ยืนอยุ่ในขณะนี้

ของแบบนี้อ่านด้วยตาพิสูจน์ไม่ได้ มาดูภาพบางซีนพิสูจน์กันดีกว่า

มะ..เบิ่งกัน...


เพื่อนน่ารักระหว่างทาง ทักทายให้กำลังใจ



ภาพมองลงมาจากบนภูเขาที่ยืนอยู่


เมฆลอยเกาะเกี่ยวเหนี่ยวแน่นกับยอดปลายเขา



บิ๊กแจ๊ส


ปลายยอดเขาอีกลูกกับภาพฉากหลังไกลๆ ที่ผืนน้ำและผืนฟ้า เนียนเข้าหากันจนไร้เส้นขอบฟ้า


สูดอากาศชุ่มปอด ชื่นบานกันไปอีกงาน
ครั้งนี้ขอแค่มาตรวจการก่อนนะ

ไว้กลับมาอีกคราวหน้าจะหาโอกาสดีๆที่ไม่ให้เมฆมายึดพื้นที่บนยอดปลายเขาบังสายตาที่มุ่งมั่่นของเราไปได้...

ขอขับมอเตอร์ไซต์หิมะ บนนี้ สักรอบเป็นบุญของ แอส หน่อยเถอะ

ใครสนใจบ้าง
ไปกัน!



Friday, June 6, 2008

Lost in Iceland

-----------------------------------------------------------------------
Polar B E A R
-----------------------------------------------------------------------------------------



ลอย..
ละลาย...
ล่อง....
หลง..... LOST
มอม...
แมม...
มืด... มน...
IN
ซัด..โซ...
หิว...โหย...
หา...
เห็น...

ตื่น...!!!

ตีบ...

ตัน....

ต้อง...

........


....หลับสบาย ....

I C E L A N D
ระลีกไว้ ในไอซ์แลนด์

Wednesday, June 4, 2008

เสียงเพลงจากโลกด้านในที่เพราะที่สุดในโลก

Wonderful
               MuSic 

บนเวที...นักดนตรีวัยรุ่นสมัครเล่นกลุ่มหนี่งกำลังบรรเลงท่วงทำนองเพลง ที่บางจังหวะทำนองแม้ไม่ลงตัวกันนัก บางคนช้า บางคนลังเลกับการบรรเลงที่ต้องลงจังหวะเครื่องดนตรีตามสัญญาณของผู้นำบรรเลง

ในทำนองเพลงแม้การบรรเลงจะไม่ลื่นไหลมากนัก แต่มันไหลลื่นเข้าไปจับใจฉันอย่างยอมสงบสยบฟังไม่ให้พลาดสักท่วงท่อนของบทเพลงที่บรรเลง...

นักดนตรีออทิสติก คำนี้จะอธิบายความเป็นกลุ่มนักดนตรีนี้ได้ชัดเจนนัก พวกเขาเหล่านี้ เหมือนสิ่งวิเศษที่ทำให้ได้ฉันได้มีโอกาสเห็นโลกด้านในของเขาที่ยากนักจะเข้าถึง ได้เผยตัวตนออกมาให้ฉันได้สัมผัสผ่านบทเพลง พวกเขาได้รับการฝีกฝนจากครูเพลงมาอย่างดีที่เขาจะสามารถจะทำได้ในระดับหนี่ง เขาเปิดโลกของเขาให้เราได้สัมผัส แม้ไม่ใช่จากคำพูดหรือท่าทาง แต่บทเพลงที่สะท้อนออกมานั้นฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งนักที่ได้มองเห็นมุมหนี่งด้านในจากพวกเขา

คำพูดที่แท้ของเขาไพเราะเพียงนี้เชียวหรือ 
เขาอยากแสดงโลกด้านในของพวกเขามากกว่านี้หรือไม่ 
หรือเขาอยากเก็บดินแดนในโลกของเขาไว้ไม่เผยออกมา

เราไม่อาจรู้ได้ แต่เพียงเท่านี้ มันก็เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เป็นนักหนา ให้คนธรรมดาอย่างเราๆ ได้ย่างกรายเข้าไปได้ทำความรุ้จักแม้เพียงสักเล็กน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ปลาบปลื้มเหลือหลาย...

ลองฟังสิ...

ในที่เงียบๆ วางจิตวางใจ ฟังพวกเขานะ 
แล้วลองดูว่าจะได้ถูกเชิญเข้าไปในโลกของเขาอย่างที่ฉันได้ไปแง้มเห็นมาหรือไม่

.....................................................................................


.....................................................................................

ขอบคุณเป็นนักหนา

แล้วก็อดปาดน้ำตากับความสุขที่มีเกียรติครั้งนี้ไม่ได้..


Sunday, May 18, 2008

มุมตึก...Barcelona

ลักลอบเป็นแก๊งค์ยิงภาพมุมตึก ในเมืองที่คราคร่ำด้วยผู้คน และสีสัน อย่างบาร์เซโลน่า ทริปนี้ไม่ใช่คอบอล แต่เป็นแค่คนหิ้วกล้อง ลากรองเท้าคู่ชีพกับคนข้างกาย ตะลอน ย่ำต๊อก อยู่สามวันๆละไม่ต่ำว่า หกชั่วโมง กับการเดิน และอาศัยเมโทร(รถไฟใต้ดิน) พยุงน่องขาบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ให้ปูดจนเกินงาม

... ทันทีที่ก้าวเท้าขี้นจากอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน มาจุดแรกที่ Catalunya แหล่งช้อปปิ้ง ที่มีผู้คนมากมายเดินไปมาขวักไขว่ ความรู้สึกที่จับได้ในตอนนั้นคือ เหวอ... ไรเนี่ย ไหงคนเยอะจังฟะ ขวักไขว่ ไปหมด แต่ก็ตื่นตา ตื่นใจ มาคิดเอาทีหลังว่าอืมม... เราคงอยู่ในประเทศที่ผู้คนบางตามาเป็นแรมปี อารมณ์เหวอมันจึงอุบัติขี้นอย่างอัตโนมัติ... แต่..ไม่นานนัก เรามันเด็กกทม.นี่หว่า ขวักไขว่กว่านี้ก็เคยมาแล้วใน กทม.บ้านเรา ปฏิกริยาการปรับสภาพ ทำงานทันที ความคุ้นชินกับผู้คน รถรา เดินกันไปมาเช่นนี้ ก็ แค่ ธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ บ้านนี้ เมืองนี้ ในบางตึก มีระเบียง ที่ยื่นออกมา เยอะดีแท้ กลายเป็นเอกลักษณ์ที่มีเสน่ห์น่ามองดีทีเดียว ลองสังเกตุดูแล้วกัน กับระเบียงที่มีความกว้างแค่เมตร ลีกแค่ศอก (เดียวจริงๆ) เนี่ย แค่เอาเสน่ห์ แต่ไม่เน้นใช้งาน ได้แหงนคอชมกันอย่างเพลิดเพลินกันเลยทีเดียว

ว่าแล้วมา เข้าซอกตึกกัน....


รูปปั้นที่ยื่นออกมาใช้เป็นที่ระบายน้ำฝน











Casa Batllo โดยฝีมือ Gaudi

ซอกซอยเล็กๆ ที่ขนาบข้างด้วยตึกสูงสองข้างทาง








Sagrada Familia ผลงานอันยิ่งใหญ่ของ Gaudi


Arc del Triomf






มุมหนี่งใน Park Güell สวนปาร์ค กูแอลนี้เป็นผลงานของ Antoni Gaudi อีกเช่นกัน





ยอดปราสาทลิบๆนั้นก็อีกหนี่งในผลงานของสถาปนิกคนดังแห่งบาร์เซโลน่าอีกเช่นกัน Gaudi


Gothic Quarter ระเบียงเชื่อมตึกดูมีมนต์เสน่ห์ น่ารักดี

Tuesday, April 8, 2008

ทฤษฏี...เค้ก

วันอาทิตย์...

คนข้างกาย ปกติเป็นคนที่ใช้เวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ไปครี่งวันแรกกับการนอนตื่นสาย ซึ่งเขาให้เหตุผลที่ว่า นี่คือการพักผ่อนจริงๆ (อย่างนี้แถวบ้านเรียกว่าข้ออ้าง ไม่ใช่เหตุผล)

แต่กับวันนี้ เจ้าพ่อคุณตื่นมาแต่เช้า เพื่อที่จะปฏิบัติภาระกิจอย่างหนี่ง คือ ขนมเค้กวันเกิดให้ฉัน ซึ่งงานนี้ได้ขอไว้เป็นพิเศษคือ French chocolate cake แบบ สองชั้น(เน้น 2 ชั้น)

ท้าวความ...

คนข้างกายของฉันเป็นคนที่ทำอาหารไม่เป็นเลย ถึงไม่เป็นที่สุด โดยเฉพาะพวกอาหารคาว
แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบกินของหวานโดยเฉพาะช็อกโกแลตเป็นชีวิตจิตใจ ใจมันเลยฝักใฝ่
ขวนขวาย ที่จะทดลองทำให้สิ่งที่ชอบ

แล้วก็ประสบผลสำเร็จดังคาด...

จากการทดลองชิมมาทุกครั้ง

ขอบอก... อร่อยมากถึง อร่อยที่สุด

เอส แอนด์ พี, กัลปพฤกษ์ ,เนลทราเวิล ,คอฟฟี่ บีน หรือที่ไหนๆ ที่กินมา ถ้าเป็นเค้กช็อกแล้วละก็ ต้อง

พ่อหนุ่มไอซ์แลนด์คนนี้ !!

มิได้ยกยอ ปอปั้น แค่ เจ้ดัน ดันๆให้เกิดเท่านั้นเอง ฮ่าๆ

คำไหนที่มันน่าหมั่นไส้นัก ก็อ่านผ่านๆไปแล้วกันนะ.

ต่อ...

เหตุที่เขาต้องตื่นเช้าเนี่ย คือเขาเป็นคนที่ทำไรพิถีพิถันมาก คือ ง่ายๆ เป็นคนทำไรช้า..ช้า..

แต่ก็ช้าแบบให้ความตั้งใจ และรอบคอบ ซึ่งกับบางอย่างก็นะ สปีดบ้างก็ได้เพ่!

กับเช้าวันนี้ ในครัวก็ถูกยึดเต็มพื้นที่ เพื่อจัดเตรียม ส่วนผสมต่างๆ

และด้วยความที่เป็นเค้กสองชั้นเนี่ย กับ ที่มีแม่พิมพ์ในการทำเค้กอันเดียว เขาเลยวางแผน ว่า งั้นอบสองที ซี่งก็กลายเป็นว่า ทำงานเหมือนกันทุกขั้นตอน แต่ทำซ้ำเหมือนกันอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ

ฉันเลย แยกตัวออกมานั่ง browse web ไม่เป็นแม้แต่ผู้ช่วย ปล่อยพี่ท่านยึดสนามไป

(บรรยากาศในครัว)


สาธยาย ส่วนผสมที่ฉันแอบเห็นในครัว..ใครสนใจเอาสูตรไปเลยไม่ห้าม แต่วิธีนั้นมาถามเขาเอง




วิธีการ...

*ชั่ง ตวง วัด ปั่น ผสม เคี่ยว เสียงเพลง พึม..พัม..(ได้ยินในบางช่วง) เสร็จแล้ว อบ ...เวลานี้ทั้งบ้านก็จะหอม อบอวลไปหมด


เมื่อเอาออกจากตู้อบแล้วก็นำไปตากให้เย็นโดยการจับเค้กตากข้างนอกระเบียงหลังบ้านนั่นแหละ
เพราะอากาศข้างนอกเย็นกว่าในบ้านเยอะ

จบกระบวนที่หนี่ง(ชั้นแรกของเค้ก)

ผ่านไปสองชั่วโมง ได้มั้งไม่ได้ดูเวลา แต่คงประมาณนั้นไม่หนีห่าง

เริ่มต่อกระบวนที่สอง...

ก็แค่ให้กลับไปอ่านตรงประโยคยข้างบนอีกทีที่มีเครื่องหมาย * ยาวลงมาเลยนะจ๊ะ

นั่นหละอย่างที่ว่า เหมือนกอภาพฉายซ้ำ อีกที ฮ่าๆ

คือเขาบอกว่า ผสมทีเดียวไม่ได้ เคยทำแบบชั้นเดียว ก็ต้องทำแบบนั้นไป แต่ทำสองทีเอา(อืม....)

เป็นอันเสร็จ..
จากนั้นประกอบร่างเค้กโดยซ้อนเค้กให้หนาเป็นสองชั้นตรงกลางระหว่างชั้น แทรกด้วยวิปครีมที่ผสมด้วยสตอเบอรี่สดบดหยาบให้มีกลิ่นและรสชาดปนเปรี้ยวเล็ก นี่ก็ไอเดียของเขาเองแหละ เพราะตอนแรกว่าจะแทรกด้วยวิปครีมเพลนๆระหว่างชั้นเฉยๆ

จากนั้นด้านชั้นบนสุดก็ตกแต่งด้วยวิปครีมปกติแล้วโรยด้วยเกล็ดช็อกโกแลตกับสตอเบอรี่สดผ่าเป็นซีกๆเสี้ยวๆตกแต่งเพิ่มสีสันและความเปรี้ยว ให้ตัดกับรสชาติที่หวานของเนื้อเค้ก

แล้วผลงานที่ใช้เวลากว่าห้าชั่วโมงของเขาก็เป็นอันเสร็จ จับแช่ตู้เย็นเพื่อให้วิปครีมทรงตัวดี

พอลงตัวกันทั้งคนและเค้ก

ก็แบ่งปันพี่ๆน้องๆหลานๆกินกันแบบกันเองนิดหน่อย

พอมีเหลือเสี้ยวสุดท้าย เดชะบุญ!! ฉุกคิดได้ ว่าลืมเก็บภาพ เลยคว้ากล้องมายิงสักสามสี่ shot พอเอางาม
แล้วประดับประดา จัดวางlay out ภาพด้วยข้อความเล็กๆนิดหน่อยเป็นที่รำลึก

ก็ออกมาด้วยประการละฉะนี้


ก็ผ่านไปด้วยความหอม ตั้งแต่เช้า อร่อยจรดเย็นกันไป

กับความรุ้สึกขอบคุณอย่างเหลือหลายกับวันนี้ที่ทำให้

ยังไม่จบ..

ตกเย็นมีคำถามจากเขาเบาๆว่า

วันนี้ทั้งวันรู้สึกอย่างไรบ้าง กับสิ่งที่ทำให้

แหมๆ...ทำมาทวงความดี!!

ก็เลยยกยอกันไป ยิ้มแฉ่ง แก้มปริ

แล้วก็เลยตบท้ายกลับไปด้วยว่า...

จริงๆแล้วคนที่จะรู้สึกดีีที่สุดเนี่ย น่าจะเป็นตัวเขามากว่าอื่นใคร

เพราะว่ากันแบบลึกๆแล้ว การที่ทำไรให้กับคนที่รู้สึกดีๆด้วยนั้น มันอิ่มสุขมากกว่าที่ได้ทำ

อิ่มใจมากกว่าผู้รับเสียอีก..

นี่คือประโยชน์ของการให้
(โดยไม่ต้องแอบทวง) ; )

Give more
Take less

ทฤษฏีอันนี้ใช้ได้แต่เฉพาะเรื่องเค้ก และบางเรื่องเท่านั้นนะ

ส่วนเรื่องเงินนั้นก็คนละเรื่องกันปาย ตกลงกันเองแล้วกาน..

อืม...แล้วเค้กชิ้นสุดท้ายที่เหลือในจานนี้หละ

สงสัยต้องลืมทฤษฏีเค้กไปชั่วขณะด้วยเช่นกัน

...

ขอรีบไปคว้าช้อนมาก่อนนะ

.....

Sunday, April 6, 2008

เรื่องเล่าผ่านเอ็ม (M)indfulness




MSN เป็นสิ่งหนี่งที่ทำให้เรากับน้องสาวเหมือนนั่งคุยกันได้ทุกวันในสารพัดเรื่องราว แม้ว่าเราจะอยู่ไกลกันคนละซีกโลก...

เซียง คือชื่อของน้องสาวร่วมสายเลือด

แล้ววันหนี่งอยู่ๆก็มาบอกว่า จะไม่ออนไลน์สักสิบวันนะ จะไปฝึกวิปัสนา พูดปุ๊บพรุ่งนี้เซียงก็หายหน้าจากเอ็มไปประมาณสิบวันอย่างที่บอก เพราะการไปคราวนี้ ไม่ว่าเทคโนโลยีสื่อสารใดๆก็ไม่อาจเข้าถึงได้ ทำเอาเรารู้สึกขาดอะไรบางอย่างไปอย่างถนัดใจ...

วันนี้ ก็มี ไอคอน smily โผล่มาจากเอ็มจากเซียง เราก็ดีใจตื่นเต้นอยากฟังเรื่องราวประสบการณ์การปลีกวิเวกของเซียงในครั้งนี้..

เราได้อ่าน แล้วรุ้สึกดีๆปนที่งไปด้วย..

เลยขอคัดลอก บอกต่อหากใครสนใจ เรื่องราวในครั้งนี้...

Sun คือชื่อในเอ็มของเซียง

sun says: (23:28:30)
ชีวิตประกอบด้วย ร่างกาย+ จิต
ร่างกาย อยู่ได้ด้วยอาหาร

เป็นพลังงาน ทำให้ตัวเองอยู่ได้ ไม่กินก้อเพลีย

ส่วนของร่างกายนี้ ก้อจะดึงอาหาร ไขมันที่สะสมอยู่ออกมาใช้ทดแทนหล่อเลี้ยงตัว

ให้อยู่ได้ แต่ถึงสามเดือน ก้อยังไม่กิน
ร่างนั้น ก้อจะตายหายไป (หรือเค้าจะเข้าใจว่า นี้คือการนิพพานของส่วน .ร่าง.

sun says: (23:31:32)
แต่อีกส่วน คิอจิต
อยู่ได้ด้วยความรู้สึกอยาก ความรู้สึกไม่อยาก กองทุกข์ต่าง ๆ
แต่เราวางใจให้เป็นอุเบกขา โดยที่เราสามารถทำใจให้เป็นกลาง กับความรูก้สึก แน่น โกรธ คับแค้น หรืออารมณ์ที่หวังผลตอบแทน
ไม่ไปรับรู้มัน ไม่ไปรับอาหารใหม่อย่างพวกมัน
จิตส่วนจิตสำนึก ไม่รับมันเข้าจิตอีก

sun says: (23:35:11)
จิตอยู่ไม่ได้ ก้อจะต้องไปดึงอาหารเก่า ๆ ที่จะสะสมอยู่จติใต้สำนึกเดิม ซึ่งอาจเดิม
ตั้งแต่เราเกิดมา หรือที่สะสมอยู่จากชีวิตก่อน
ขึ้นมาใช้ ถ้าเราไม่รับอารมณืใหม่เข้าไปอีก จิตก้อไปดึงกิเลสมาใช้ เรื่อย ๆ จนไม่มีกิเลสเหลือ
อยู่ให้กินอีก จติก้ออยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีอาหาร
จิตก้อต้องดับไป

patra says: (23:37:19)
อืมดีจังเข้าใจง่าย เห็นภาพ
sun says: (23:37:30)
จิตพระพุทรเจ้า ก้อเช่นเดียวกัน จิตท่านดับไปเป็นศูนย์เพราะไม่มีกิเลสพอกเหลืออยู่ที่จิตเลย
patra says: (23:37:56)
อยากกลับไทยไปฝึกเหมือนกัน
sun says: (23:38:19)
ไว้มาเมื่อไร จองให้ได้
sun says: (23:38:50)
จิต = จิตสำนึก + จิตใต้สำนึก
จิตสำนึก เราคอนโทรลได้อยู่แล้ว ล้างกิเลสเมือไรทำได้แต่ไม่หมด
เพราะจิตยังอีกส่วนประกอบที่สำคัญคือจิตใต้สำนึกซึ่งมีอิทธิพลมากถึง 90% ของร่างกายที่เข้าไปรับรู้ถึงกิเลสต่าง
sun says: (23:42:27)
(ต่อ) จิตใต้สำนึก ซึ่งมีอิทธิพลมากถึง 90% ของร่างกายที่เข้าไปรับรู้ถึงกิเลสต่าง ๆ
หรื่อโกดังหลักในการเก็บกิเลส ถ้าเราไม่ล้างกิเลสส่วนนี้
เราก้อล้างกิเลสในจิตไม่ได้
จิตก้อบริสุทธิ์ไม่ได้
patra says: (23:43:42)
อืม
sun says: (23:44:38)
จิตที่พอกหรืออาบด้วยกิเลสเรานี้ จึงมีอาหารอยู่ เราจึงนิพพานไม่ได้
และเมือจิตยังไม่บริสุทธิ์อยู่ ก้อจะล่องลอย
ไปฝังตัวเกิดในร่างใหม่ เรื่อย ๆ ไม่รู้จบ แล้วถ้าร่างใหม่ พอกกิเลสให้จิต ครวาวนี้ก้อจะหนักไปเรื่อย จนแก้ยาก

sun says: (23:48:24)
เป็นวิบากกรรมต่อ ๆ กันไป พระพุทธเจ้าเองก้อต้องเกิด 10 ชาติ หรือ 10 ร่างกาย กว่าจะลอกกิเลสออกจากจิต จนบริสทุธิ และจิตก้อดับไป(เพราะจิตไม่มีอาหารหลงเหลือแล้ว อ่ยู่ไม่ได้ไง)
ไม่ต้องเกิดอีกเลย
พระอรหันต์ทุกองค์ก้อเป็นเช่นั้น ไม่ต้องเกิดอีก เพราะล้งกิเลสออกจากจิตได้หมดจดนั่นเอง
sun says: (23:51:40)
ทีนี้ วิธีล้างจิตให้สะอาด ไม่รับกิเลสใหม่ และล้างกิเลสสะสมเก่า คือการนั่งวิปัสสนา
เค๊านั่งวันละไม่ต่ำกว่า 8 -10 ชั่วโมง ไม่คุยกับใครตลอด 10 วันยกเว้นเจ้าหน้าที่ธรรมะ
กินเจตลอดแต่ได้คุย 1 คำกับเพื่อนที่ไปนั่งวิปัสสนา ว่า โอเค
sun says: (23:54:37)
(ต่อ)ทีนี้ วิธีล้างจิตให้สะอาด ไม่รับกิเลสใหม่ และล้างกิเลสสะสมเก่า คือการนั่งวิปัสสนา ซึ่งการนั่งให้ถูกวิธี อาจารย์เค้าจะค่อย ๆ สอน ๆเข้าใจง่าย ปฎิบัติง่าย
เค๊าก้อทำตามไปเรื่อย ๆ ก้อได้พบปรากฎการณ์ทางจิต ชนิดมหัศจรรย์เลยทีเดียว
sun says: (23:57:38)
1 จิตเป็นพลังงานที่มีอนุภาคสูงมาก สามารถเข้าไปรับรู้ความรู้สึกทั้วผิวหนังของร่างกาย รวมถึงอวัยวะภายใน ปอดไตม้ามได้หมดว่าข้างในรู้สึกอย่างไร ดีหรือไม่ดี ถ้าดี จิตจะรับความรู้สึกได้ว่า มีความรู้สึกแผ่วเบาสบาย จิตเดินทางผ่านได้ไม่ติดขัด
sun says: (23:58:42)
ถ้าช่วงใหนมีดี จิตเราจะรู้สึกว่า ตรงนั้น แน่นตึงบีบคั้นรุนแรง คันอย่างแรงปวด
นี่สื่อจิตใต้สำนึกมีส่วนกิเลสประเภทนึงอยู่ อาจจะไปความโกรธกลัว วิตกกังวล
อาจารย์สอนว่าอย่างนั้น ว่าความรู้สึกส่วนนั้น เป็นอย่างนั้น เพราะในใจลึก ๆ มีกองทุกข์อยู่นี้ ซึ่งน่าจะเป็นทุกข์ประเภทโกรธกลัวนี้

sun says: (0:02:59)
(ถ้าถามคิดได้ไง ว่าความรู้สึกไม่ดี แสดงออกถึงความทุกข์ และเป็นความทุกข์ประเภทนี้ อาจารย์บอก
ต้วองปฎิบัติและรับรู้ด้วยตัวเอง เพราะธรรมะเป็นเรื่องของการปฏิบัติพิสุจน์ของจริงด้วยตัวเองเท่านั้น)
sun says: (0:06:33)
เค้าก้อไม่รู้ว่าทำไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า ต้องปฎิบัติจริง จะรับรู้ได้เอง เพราะ? เพราะว่า ถ้าเค๊าไม่ปฎิบัติด้วยตัวเอง ครั้งนี้ เค้าคงไม่ได้ ประจักษ์(ใช้คำนี้เลย) ว่า จิตเป็นพลังที่อนุภาคสูงมาก ที่เคีาสามารถใช้ เพื่อเพิ่งผ่านหรือสแกนร่างกายเค้าได้ทั้งหมด ทุกรูปแบบ ความเร็วสูงสุด จนไม่คิดว่า จะมีพลังงานใดวิ่งได้เร็วเท่านี้
ข้อ 2. อาการตึงแน่นบีบคั้น
ถ้าไม่นั่งวิปัสนา ไม่เคยรู้สึกเลยได้ขนาดนี้ อาจจะพอรู้บ้างว่า(ช่วงมีจิตสำนึก ตรงนี้เส้นคอตึงบ้าง ไม่ตึงบ้าง) แต่พอนั่งแล้วนำจตไปรับรู้ส่วนนั้น แล้วเค้ารู้สึกว่า มันเจ็บปวดคั้น ได้จนหัวข้างซ้ายจนถึงคอล่างจะระเบิดเลย
sun says: (0:11:03)
ในครั้งแรก ป้าที่นั้งวิปัสฯมานาน เขาบอกว่า เราคงมีอีกอะไรในจิต เก็บไว้เยอะมากอัดอั้นอยู่
sun says: (0:13:54)
เค็ายังคิดในใจ ป้าพูดอะไร ตลกดี เพราะเส้นเอ็นที่คอมันตึงของเก่านั้นเอง พอเพ่งกระแสจิตมาก ๆ มันจึงบีบคั้นมากขึ้นเรื่อย แต่พอนั่งไปสักพัก ปฎิบัติตามอาจารย์ ว่า ให้เดินจิตไปผ่านส่วนอื่น ๆ ที่มีความรู้สึกแผ่วเบาก่อนทั่วร่างกาย แล้วค่อยกลับพิจารณารับรู้ วางอุเบกเขากับส่วนนี้ทีหลัง
sun says: (0:16:32)
พอเดินจิต(เค้าของใช้คำว่า สแกนจิตละกัน) แสกนจติไปรอบ ๆร่าง ตรงหัวซ้ายก้อแผ่วเบา ที่นี้ก่อนจะแสกนเข้าทางซ้ายของหัว ไปแสกนด้านขวาก่อน เพราะด้านขวาเหมิอนไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลยเหมือนเป็นจุดอับ บอด ทำให้ด้านขวาเกิดความรู้สึกมากขึ้น ไปบาล้านกับความรู้สึกของหัวฝั่งซ้าย
sun says: (0:17:11)
(อาจารย์บอกว่าเราต้องเดินจิต ไปรับรู้ส่วนของร่างกายที่แสกนไปแล้วไม่พบความรู้สึก หรือรู้สึกน้อยมากด้วย เพระาถือเป็ฯจุดอับ ทึบ อาจเป็นอีกกอง ของทุกข์ในใจได้
sun says: (0:18:17)
เค้าเลยเดินจิตส่วนหัวด้านขวา พอเพ่งหัวด้านขวา เริ่มมีความรู้สึกเกิดขึ้นไปบ้าง
sun says: (0:20:02)
เค็าก้อหันมาแสกนทางซ้าย ซึ่งที่เคยหนักมาก ก้อเบาขึ้น พอเริ่มเบา เขาตั้งจิตวางในอุเบกขาสัก 2 นาที มันเบาขึ้น เรื่อง ๆ จนเดินจิตไล่ และ dissolve มันได้ หายไปจากหัวซ้ายหมดเลยความรู้สึกหนักอึ้งทั้งหลาย
sun says: (0:20:56)
ก้อเปลี่ยนเป็นเบาสบาย คราวนี้ก้อแสกนจิตผ่านหัวทางซ้ายได้คล่องตัวแล้ว เมื่อได้หัวซ้าย การเดินจิตก้อจะเป็นลักษณะ Free flow
sun says: (0:22:23)
flow ไปได้ตลอดทั้วร่างกาย เค้าเลยสแกนจิต ทั่วร่างกายกลับไปมาบนลงล่าง ล่างขึ้นบน ซ้ายไปขาว ขวาไปข้าง และแสกนหนักช่วงมดลูก ช่วงกระดูกสันหลังด้านหลังที่ปวดบ้างบางครั้ง
sun says: (0:22:45)
ความรู้สกึของเค๊าช่วงนี้คือ
เบาสบายร่างกาย เหมือนมันว่างไปหมด
sun says: (0:23:44)
ข้อ 3 แผ่เมตตา
ท้ายสุด อาจารย์บอกว่า เมือ่เรานั่งวิปัสฯจนล้างกิเลส ได้มากมาย ถถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงความแผ่นกุศลอันยิ่งใหญ่นี้ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ เจ้ากรรมนายเวร ให้เป็นสุข พ้นทุกข์โดยทั่วกัน
sun says: (0:26:55)
เค็าก้อพูดไปตามอาจารย์ แล้วอธิฐานว่า ถึงแม้ช่วงเค้านั่ง อาจเดินจิตตลอดทั่งร่างกายได้แล้ว แต่ก้อมีบางส่วนติดอยู่ในช่วงแรก
sun says: (0:28:39)
บ้าง ไม่สามาถ Free flow ได้ตลอด ก้ออยากแผ่กุศลนี้ด้วย แผ่ส่วนที่ Free flow นี้(Free flow = จิตว่างไม่ติดขัด จิตบริสุทธิ์ ซึงแม้จะเป็นได้ขณะเดียวก้อตาม) ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก ด้วย
sun says: (0:29:07)
ให้มีความสุขโดยทั้วหน้ากัน รวมถึงครอบครัวของข้าพเจ้า
sun says: (0:29:27)
พออธิฐานจบคำนี้นะ เชื่ออะไรปะ
sun says: (0:30:07)
หน้า ตี๋เล็ก ลอยมาชัดเจนอยู่ทางซ้านด้านหน้าของเค็า หน้า ป๊าลอยมาทางด้านขวาหน้าของเค๊าเต็มชัด
sun says: (0:30:28)
เค๊าเลยรีบอธิฐานบอกชื่อเล็ก กับป๊า ในทันที
sun says: (0:30:45)
ร้องไห้เล็ก ๆ ด้วยความดีใจ อิ่มใจที่กุศลถึง
เล็ก และป้า ในรูปแบบที่มหัศจรรย์จริง ๆ

sun says: (0:31:49)
ข้อ 4 การทำงานของจิตใต้สำนึก ที่ไม่เคยรู้มาก่อน
คือเค้านั่งสมาธิตั้งแต่ตี 4.30 ถึง 21.30 ทุกวัน พักบ้างแต่ 80% คือนั่ง

sun says: (0:33:44)
นั่งไปนาน ช่วงกลางนั่งไปแล้วรู้สึกเบาสบาย ทีนี้มาจับความรู้สึกที่แขนซ้ายขวา อืม เราจับนอ่งอยู่นี่นะ เกร็งอยู่นิดนึง

sun says: (0:34:07)
เลยปล่อยมือทั้งสองข้างจากตัก ดูซะว่ามันจะลอยได้เลย
ปรากฎว่ามือมันลอยอัตโนมัติ เหมือนวัตถุมันเคลื่อนได้ตั้วเอง
อัตโนมัติแล้วตัวมันก้อเบามาก ๆ สักพัก
ตัวร่าง เค๊าไม่เห็นตัวร่าง ของตัวเอง
แต่กลายเป็นคล้ายกับกลุ่มธาตุแล้วมีละอองพ่งไปมากเล็ก ๆ
ตอนนี้พอรู้ตัวนะ แล้วก้อ ความรู้สึก คือ มหัศจรรย์ เป็นไปได้ไง

sun says: (0:36:50)
ก้อคิดไปว่า นี่ไงที่พระพูทธเจ้าบอกว่า ร่างกายมนุษย์ไม่มีอะไร พอนั่ง
วิปัส ฯ ลึก ๆจะรับรู้ว่า มันเป็นเพียงกลุ่มธาตุพลังงาน ดินน้ำลมไฟ เป็นอย่างงี้หรือเปล่านะ
ถ้าไม่เจอด้วยตัวเอง ให้ตาย ไม่มีทางเชื่อ
คงเริ่มจากปล่อยมือจากตักนั่นแหล่ะ อยากลองอยากรู้ว่าถ้าทดลองแบบอื่นๆ แล้วเป็นไงถึงใหน

sun says: (0:38:21)
ก้อเป็นอย่างนี้
sun says: (0:39:15)
พอร่างกระจายเป็ฯกลุ่มธาตุได้สักพัก ระฆังดังขึ้น เลยคิดในใจ นี่เป็นความมหัศจรรย์ที่เราได้ลองแล้ว ก้อพอแล้ว เรายังใหม่อยู่ เดี่ยวค่อยปฎิบัติใหม่แล้วพนามือออกจากห้องปฎิบัติเดี่ยวนี้ไป
แล้วไปถามอาจารย์ อาจารย์บอกว่า ให้สังเกตุความรู้สึกที่ผิวหนังเท่านั้น

sun says: (0:41:12)
หลงทางแล้ว ให้อุเบกขากับความรู้สึกที่ผิวหนังเท่านั้น ต้องอยู่กับร่างกายเท่านั้น
sun says: (0:42:19)
เค๊าว่าอาจารย์ต้องรู้อะไร มากกว่าแนะนำว่าหลงทาง ให้สังเกตุความรู้สึกทางผิวหนังเท่านั้น
sun says: (0:43:00)
เค็าว่า 1 อาจารย์ต้องรู้ว่า เค้าลองส่งใหม่ มากเกินไป จนเข้าไปใน Status จิตแยกจากกายได้
sun says: (0:43:36)
ถึงบอกเค๊าว่า ต้องอยู่กับ่ร่างกายเท่านั้น เพราะเค๊ายังไม่มาก เดี่ยวจิตไม่กลับเหมือนคนขวัญหาย
sun says: (0:44:04)
2 อาจารย์ต้องว่า เค็าฟุ้งซ่าน:D
แต่หลังจากวันที่ 10 เค็าก้อเรื่องไปถามคนที่เคยปฎิบัติมาหลายครั้ง บางคนก้อว่า เค๊า Advance มาก ๆ ขนาดเห็นกลุ่มธาตุ ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกว่า กะละสังกัปปะ
sun says: (0:50:08)
บางคนก้อว่า มีมารพจญ จะแยกจิตไป วันหลังห้ามนั่งวิปัสฯ คนเดียวในห้องปปฎิบัติเดี่ยวนะ
เค็านะ กลัวมากเลยเลยไม่ไปนั่งวิปัจ ในห้องปฎิบัติเดี่ยวอีก
sun says: (0:51:17)
ข้อ 4 (ของความมหัศจรรย์ทีเค๊าค้นพบ)
ก้อคือ เมือเริ่มเดินจิตผ่านผิวหนังใหม่ เดินไม่เป็น เดินเร็วปรู้ด ๆ ไปเรื่อย มั้วสับสน ไม่รู้สึกอะไรเลย
ไม่เห็นมีอะไรเลย
เลยเอาใหม่ เดินช้า ๆ ทีละจุดจุด ในช่วงเดินผ่านผิวหนังล่างขึ้นบนช่วงกระดูสักหลังของช่วงหลังนะ
ช่วงเดินเป็นคู่ ขนาบกระดูกสันหลังซ็าย ขวา จากล่างขึ้นบน เหมือนเห็นภาพในใจขนาด Close up ว่ามีมีขั้วกระแสใหญ่ ๆ ค่อยพาดผ่านแต่ละจุด ๆ ตามการเดินของเค๊าเลย ซึ่งทึง่มาก
เลยไปถามอาจารย์ อาจารย์บอกว่า ถ้ามีสมาธิสูงลึกมาก ๆ จะเห็นว่า ร่างกายจริง ๆ แล้วทำงานอย่างนี่นี่เอง
sun says: (0:58:46)
Save ไว้นะ
sun says: (0:58:57)
เค๊ากัอกลัวลืมเหมือนกัน
sun says: (0:59:21)
เดี่ยวยังมีเรื่องจี้ มาเล่าให้ฟังขำกลิ้งตกเก้าอี้อีกด้วย
sun says: (0:59:34)
และเรื่องที่อยากเล่า
1 พัดแห่งสติ
2 กางเกงในห้องน้ำ
3ทางเดินแห่งสติ
เก็บไว้เด่ยวมาเล่าให้ฟัง Save ไว้นะคราวนี้นอนหลับได้ละบอกแล้วอย่าให้เล่า

Saturday, March 15, 2008

ตามล่า Northern light

เสียงโทรศัพท์ดังจากพี่ที่น่ารักคนหนี่ง เสียงแจ้วๆ แว่วออกมาว่า ออโรร่า เต็มฟ้าเล้ย.. เท่านั้นแหละ เปิดประตูระเบียงหลังบ้านผั๊วะ กะจ๊ะเอ๋ เต็มที่ แต่ไม่มี คงสถานที่ไม่เป็นใจ วิ่งออกมาดูอีกด้านก็เจอพบเธอเข้าจนได้ แต่พี่ออโรราคงอาย เลยเผยโฉมให้ดูเพียงแผ่วๆในเวลานั้น


สามปีกับการเฝ้ารอคอยว่าสักวันจะได้เห็นแม่หญิงงามออโรร่านางนี้สักที แบบวาดลวดลายรำร่ายเต็มที่เต็มท้องฟ้ากับอาภรณ์ของเธอในหลากหลายสี ที่พริ้วไหวไปมาอย่างอ่อนนุ่ม


แต่ยังไม่เจอเธอเต็มๆสักที...


ในคืนนี้ฟ้าโปร่งสนิท ดาวเต็มฟ้า พระจันทร์ถูกผ่าซีก อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง หนาวได้ที่ ทุกอย่างเป็นใจ บวกกับเสียงจากพี่ผู้หวังดี เตือนสติได้ว่า วันนี้สิโอกาสที่จะเห็นมีสูง หลังจากเสียงโทรศัพท์ จัดการแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อป้องกันความเย็นของอากาศภายนอก เพื่อภารกิจตามล่า Northern Light หรือแสง ออโรรา

พ่อคนดีใกล้ตัวเป็นใจใหญ่ เป็นเพื่อนตามล่าด้วยคน ประสานมือกันเป็นสัญญาน เพื่อตอกย้ำว่า วันนี้แหละ แม่นางออโรราต้องใจอ่อนเผยโฉมให้ได้เห็นอย่างไม่มีข้อบิดเบือน

สตาร์ทรถ บึ่ง ไปยังที่ในโลเกชั่นที่เหมาะสม ที่สามารถมองเห็นได้มุมกว้าง และไม่มีแสงรบกวนจากแสงของไฟถนนของเมือง เราสรุปกันว่าไปที่ เพิร์ล (รายละเอียดของเพิร์ลได้ตามลิ้งค์ที่ปรากฏอยู่ด้างล่างจอภาพ คลิกเลย)

ในระหว่างเส้นทางล่าแสงอยู่นั้น ยังไม่ทันถึงเพิร์ล มองออกนอกกระจกรถ นางเริ่มบรรเลงลางๆให้เห็นแล้วอดรนทนไม่ไหว จนต้องจอดรถขอชมหน่อย ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนใจ เราเห็นเธอแค่วอร์มอัพเท่านั้นเอง อาภรณ์ของเธอเป็นสีเขียวซี่งคิดว่าคงเป็นสีโปรดของเธอเพราะทุกครั้งที่ได้เคยเห็น(แบบลางๆ)ก็เป็นสีนี้

เธอร่ายตัวเองโอบคลุมเป็นแนวยาวของผืนฟ้า เราต้องแหงนมองแล้วร่ายสายตาไปตามอาภรณ์ของเธอจากเหนือจดใต้ของแนวท้องฟ้า อาภรณ์พริ้วไหวอย่างแผ่วเบาแปรรูปร่างเคลื่อนไหวได้อย่างนุ่มนวล ท่วงทำนองดนตรีในวันนี้เป็นเพลงจังหวะช้าๆเบาๆที่เราต้องเงี่ยหูฟัง พร้อมกับจับตาดู MV ของเธออย่างตั้งใจ แม้ว่าเราจะคาดหวังว่ามันจะต้องเพอร์เฟคกว่านี้ แต่เท่านี้ในว้นนี้เราก็ปลาบปลื้มยิ่งนักแล้ว เธอร่ายรำได้ไม่นานนักคงต้องไปแสดงที่อื่น แล้วแฟนอย่างเรา มันยังไม่หนำใจเพียงเท่านี้ ออกปฏิบัติการตามล่าเธอต่อ

เพิร์ล..ร้านอาหารที่มุมสวยที่สุดของเมืองอยุ่ในตำแหน่งที่สูงมองเห็นวิวได้รอบเมือง เราคิดว่าที่นี่่จะเหมาะสมแต่ปรากฏว่า เราหนีไฟเมืองยังไงก็ไม่พ้น เพราะเราดันเห็นไฟได้ทั้งเมืองในในระดับตำแหน่งนี้ แต่ก็เอานะ ที่สวยไม่แม้กันก็คือ ดวงดาว เต็มท้องฟ้า ที่ไม่ขอน้อยหน้า ส่งแสงระยิบระยับแข่งกับไฟของเมืองอยู่

เธอมาอีกแล้ว.. อาภรณ์สีเดิม แต่ตอนนี้เธอไม่ร่ายรำโอบท้องฟ้าแล้ว เธอออกจังหวะสเต็ปเล็กๆเท่านั้นเอง กับเสียงเพลงที่แผ่วเบาเหมือนเดิม(อย่าเข้าใจผิด จริงๆแล้วเสีียงเพลงที่ว่าคือความรุ้สึกและจิตนาการของฉันเองที่แปลจังหวะการเปลี่ยนรูปร่างของแสงเบื้องหน้าเป็นท่วงทำนอง)

พอตั้งท่าจะถ่ายภาพเธอไว้เท่านั้นแหละ เธอก็เบี่ยงหนีหายไปอย่างแผ่วๆ ทิ้งไว้แต่เพียงปลายอาภรณ์ของเธอหลงเหลือไว้ให้ได้บันทึก

สองเรานักล่ายังไม่ท้อ ยังเฝ้ารอเผื่อว่าเธอจะกลับมาเฉิดฉายให้เราชื่นชมอีกรอบ เอ่ยปากอ้อนวอนรบเร้า เธอก็ยังไม่มา จนกระทั่งเราคิดว่า ชั่วโมงนี้เธอคงเหนื่อยแล้ว ส่วนเราสองคนนั้นก็เกือบแข็งกันแล้วในอุณหภูมิเวลานั้นอยู่ที่ -5 องศา เราก็เลยตัดสินใจกันว่าโอเคชื่นชมแต่พองามไม่งั้นมีหวังเป็นหวัดกันงอมดูไม่งามแน่

เรายังคงมีโอกาสได้พอเจออีกเป็นแน่ แต่ไม่ว่าเธอจะมาในอาภรณ์ใด ลีลาไหน หนาวเหน็บเพียงไร เราก็ขอเงยหน้าชื่นชมเธอในทุกๆคราไป หากได้รับรู้ว่าเธอปรากฎกาย

ขอสักครั้งเถอะนะ สักครั้งที่ได้เห็นเธอเต็มๆแบบแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างครบครัน ร่ายรำทุกกระบวนท่าแบบไม่กั๊ก ให้เป็นบุญตาสักหน่อยเถอะ แล้วจะไปประกาศบอกคนย่านบางแคว่า ฉันได้เจอนางงามแห่งขั้วโลกแล้ว!!

ศึกษาประวัติของเธอได้ ที่นี่

แล้ววันหนี่งจะกลับมาอีกพร้อมแกลเลอรี่ของเธอที่เห็นด้วยตาด้วยเลนส์ของตัวเอง...

Thursday, February 28, 2008

หลายไมล์ไปกับจิต


หากต้องเดินทางไปไหนสักที่ไกลๆในการสิ้นสุดการเดินทางในแต่ละครั้งมักจะเหนื่อย เมื่อย เพลีย อ่อนล้า  ร่างกายเรามันส่งสัญญาณเหล่านี้ได้ สำหรับจิตใจและความคิดเราหละมันเดินทางในแต่ละวันไปโน่นมานี่มากมายหากเทียบวัดค่าความเร็วได้มันคงเป็นการเดินทางที่ไวกว่าแสง ไกลกว่า ไวกว่า กับการเดินทางของจิต วิ่งไปมาจากตัวเราไปโน่นมานี่ตลอดเวลา บางวันถึงกับไม่ยอมกับมาหาตัวเราก็มี หลงเพลิดเพลินกับแสงสีที่ไหนไม่ทราบ มันมีสัญญาณเตือนมั๊ยว่า มันเหนื่อย มันล้า มันไม่ไหวแล้วว..

ตัวเราอยู่ที่นี่ตรงนี้ ความคิดจิตใจ เดินทางกลับไปในอดีตหลายสิบปีในชั่วพริบตาเดียว รู้ตัวอีกทีก็แว๊ปกลับมาที ดูไม่ดี มันแว๊บไปอีกแล้ว บางทีไปนาน จิตเราก็ไปฟุ้งซ่านโดดเดี่ยวอยู่ที่ไหนไม่รู้ 
ในบางเวลายังเดินทางผ่านทะลุมิติ ไปสร้างฉากสร้้างภาพในอนาคตให้น่าขบคิดอีกด้วย

ทำไมเราปล่อยให้ความคิดจิตใจกับกายของเราน้อยนักที่จะอยู่ด้วยกันในปัจจุบัน ซี่งมักจะต่างคนต่างอยู่ มันจะเหนื่อยบ้างมั๊ยน๊ากลับการเดินทาง

การพยายามให้จิตกับกายมันเกาะเกี่ยวอยู่ในที่และเวลาเดียว ด้วยกันนั้น เคล็ดลับของพระพุทธเจ้าบอกไว้อย่างสั้นๆคือการมีสติ การใช้สติประสานจิตกับกายให้อยู่ด้วยกันนั้น จะทำให้เราอยู่ในเวลาที่เป็นมิติเดียวกันคือช่วงเวลาปัจจุบัน

การรู้ตัว การมีสติ ตามความคิดเรากับมาอยู่กับตนเองในปัจจุบัน ต้องอาศัยการฝึกฝนกันบ่อยๆ ความคิด หรือตัวจิต บางทีมันเดินทางสะเปะสะปะไปมา ต้องใช้ความตั้งใจพอสมควรเพื่อรวบรวมให้กลับมาอยู่ในจุดเดียวกันในเวลานี้หรือปััจจุบันนี้ 

หากฝึกสติได้อย่างเข้มแข็งแล้วความคิดและจิตใจคงไม่ต้องอ่อนล้ากับการเดินทางไกลอีกต่อไป หากทำให้ได้สัมผัสลมหายใจกับอากาศที่สดชื่นในเวลานี้ แล้วทีนี้พอสิ่งใดมากระทบ เฝ้าดูมันด้วยใจที่มีสติ แล้วจะเห็นว่า มันก็เพียงเข้ามาและอ่อนล้ากลับไป เอาสติเป็นปราการต้านไว้ไม่ให้สิ่งใดๆมานำพาความคิดและจิตใจล่องลอยไปมาอย่างไร้ทิศทางอีก 


สิ่งที่ได้เขียนมานี้ เกิดจากทั้้งจากการอ่าน การศีกษาและจากประสบการณ์การทดลอง ลองคิด ลองทำ ลองวิเคราะห์ แล้วก็ค้นหาโลกด้านในตนเอง ก็ดีบ้าง ล้มเหลวบ้าง ก็ค่อยๆทำกันไป

ในตอนนี้ชาวตะวันตกกำลัง หันกลับมาสนใจแนวความคิดของชาวตะวันออกอย่างเราในด้านจิต วิญญาน ของมนุษย์ ซี่งมีคำสอนแนวทางในการปฏิบัติสืบทอดมายาวนานตั้งแต่โพ้นกาลสองพันกว่าปีโน้นแล้ว  ในโลกตะวันตกหลังจากเดินทางออกนอกโลก  ไปลอยเคว้งคว้างในอวกาศ ที่ไกลแสนไกล แต่เขาเพิ่งได้รู้สึกตัวว่า ในโลกด้านในของร่างกายมนุษย์ที่กว้างแค่ศอก ยาววา หนาแค่คืบเนี่ย พวกเขายังได้ได้เริ่มสักก้าว 

การเดินทางในด้านในด้านจิตวิญญาณ  ไม่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวเพียงแค่หยุดนิ่ง มันก็เป็นการอุ่นเครื่อง พร้อมทะยานแล้ว จากนี้ ก็ควบคุมการเดินทางในทิศทางของแต่ละคนกัน ให้นิ่งที่สุด ก็จะถึงจุดหมายเร็วที่สุด 

ไม่มีการลงทุนทางทรัพย์สินเงินทองใดๆในการเดินทางเข้าไปในโลกด้านในตนเอง  เพียงแต่ระหว่างการเดินทาง อย่าเผลอไผลให้ความคิดจิตใจหลุดลอยออกนอกเส้นทาง ไม่งั้นระยะทางแค่กว้างคืบยาววาหนาศอกนี้คงอีกแสนไกลและใช้เวลานานอยู่ กว่าจะเข้าถึง

เพราะมัวแต่สเปะสะปะตามหาความคิดจิตใจให้กลับมา

อ้าว...แว๊ปไปอีกแล้ว เดี๋ยวมานะ 
ไปตามกลับมาก่อน


Sunday, January 27, 2008

คบเด็กหลังบ้าน

เสียงแจ้วๆพาสงสัยว่า อะไรเคลื่อนไหวอยู่หลังบ้าน พอเปิดประตูไปเท่านั้น ก็ตาสบตากับหนุ่มตัวน้อยหน้ามล แก้มแดงแจ๊ดยืนคลุกหิมะเล่นอยู่โดยไม่ยี่หละกับความเย็นแต่อย่างใด เราพยายามสื่อสารถึงกันพอสมควร พูดกันคนละภาษาแต่เข้าใจกันทางรอยยิ้มมากกว่าซะนั่น คาดเดาว่าเจ้าตัวน้อยเองก็ยังพูดไม่ได้เป็นภาษามากนัก แต่ก็พยายามฝีก มีมนุษย์สัมพันธ์อย่างดี เอ๊ะ...หรือว่าเจ้าหมอนี่คิดตีท้ายหลังบ้านตั้งแต่เด็ก โชคดีที่เรายังไม่มีลูกสาวนะ รอหน่อยนะเจ้าหนู!

Sunday, January 20, 2008

หิมะ ปุย..ปุย...

มองผ่านช่องหน้าต่างบานใหญ่ข้างโต๊ะทำงาน เพื่อพักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ภาพที่เห็นชวนฝันเหลือเกิน หิมะกำลังตกโปรยปรายอย่างแผ่วเบา พื้นที่บริเวณ ปกคลุมไปด้วยหิมะปุกปุยไปหมด ถึงกับอดใจไม่ไหวคว้ากล้องและเสื้อกันหนาวลงไปเก็บภาพมาฝากกันสักหน่อย ...














ส่วนในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง หิมะกองเต็มระเบียงหลังบ้าน แล้วอะไรหลายๆอย่างเหมาะเจาะ ความเย็นและความเปียกเของหิมะซึ่งไม่ร่วนเกินไป พอที่จะเกาะตัวกันเป็นก้อนๆได้ เลยจับปั้นก้อนกลมๆสองก้อน ก้อนหนี่งใหญ่และก้อนหนี่งเล็ก ทำการประกอบร่าง เสริมจมูก ใส่ลูกตา เป็นตุ๊กตาหิมะตัวขนาดย่อม แล้วอัญเชิญใส่จานมาเป็นนายแบบให้ถ่ายภาพ แต่งตัวให้เล็กน้อย พอได้ที่เจ้าตุ๊กตาหิมะก็ทำหน้ากลม ปากจู๋ แอ๊คท่าให้ถ่ายรูปอย่างเต็มใจ ส่งมาอวดนายแบบตัวน้อยของเรากันสักหน่อย



จากนั้น จับถอดเสื้อแล้วก็ราดน้ำแดงเฮลบลูบอยซะเลย น่ารัก น่ากิน เอ้ย น่าชังนัก อิอิ...


Tuesday, January 1, 2008

เสียงสนั่นฟ้า แสงกระจ่างเมือง

คนที่นี่เชื่อกันว่า ไม่มีที่ไหนในโลก คลั่งไคล้การจะพลุฉลองต้อนรับปีใหม่ได้เท่าคนไอซ์แลนด์ ซึ่งถึงขนาดชาวต่างชาติเดินทางมาที่นี่ช่วงนี้เพื่อมาดูการเล่นพลุกันทั้งเมือง

พลุที่เมืองไหนๆก็จุดกันทั้งนั้น สารพันแฟนซีสวยงามตระการตา

แต่... ที่นี่ ไม่ พลุธรรมดาๆที่ชาวบ้านที่นี่จุดกันเองเกือบทุกบ้านนี่แหละ จุดเด่นก็ตรงที่ เขาจุดกันทั้งเมืองทุกตารางเมตรของพื้นที่ชุมชมที่นี่ มันโป้ง..ป้าง.. ไปทุกระหนระแหง หากยืนตรงที่สุงที่อยู่ในจุดมองเห็นภาพมุมกว้างของเมืองแล้วละก็ มันตูมตามทั้งตาทั้งหัวใจเลยทีเดียว อะไรจะขนาดนั้น

ปีนี้ก็เข้าครั้งที่สามแล้วกับการได้เห็นการเล่นพลุอย่างคลั่งของคนที่นี่ สนนราคานั้นไม่ต้องพูดถึง เหมือนเผาเงินเล่นกันกลางอากาศกันต่อปีเป็นเป็นจำนวนเงินหลายร้อยล้านบาท แต่คนที่นี่ไม่หวั่น นานทีปีหน กับความมืดและเย็นยาวนานถึง6เดือนของประเทศนี้ การได้จุดดอกไม้ไฟ ให้มันสว่างอร่ามตาสะเทือนหูสักช่วงเวลาสั้นๆนั้น มันก็เท่ากับได้ปลดปล่อยได้เต็มที่ของคนที่นี่

ดูวีดีโอคลิปข้างบนไปก็รู้สีกเหมือนกับว่าทั้งเมืองทำสงคราม ยิงกันสนั่น แสงไฟกระจ่าง แต่มันเป็นสงครามแห่งความหรรษา บันเทิง เรายิงดอกไม้ไฟขี้นฟ้า อวดสีสรรต่างๆจากประกายไฟ เพื่อได้ประกาศความสุขี ยินดี ..

หากเพียงแต่ว่า สงครามแห่งความขัดแย้ง เราไม่สามารถเปลี่ยน ขีปนาวุธทั้งหลาย เป็นดอกไม้ไฟแห่งความบันเทิงสุขสันต์ได้ก็เท่านั้นเอง

สิ่งหนี่งที่น่าเสียดายยิ่งกว่า มูลค่าของขีปนาวุธนั้นนอกจากตัวเลขที่ทวีคูณมากกว่านี้ยิ่งนัก มันไม่ใช่แค่เผาเงินไปในอากาศ แต่มันยังเผาผลาญชีวิตและความรู้สึกของคนไปทั้งโลก

ว่าแล้วมะ ลงทุนสักแดงสองแดงแสดงความบันเทิงต่อกันดีกว่า