Tuesday, April 8, 2008

ทฤษฏี...เค้ก

วันอาทิตย์...

คนข้างกาย ปกติเป็นคนที่ใช้เวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ไปครี่งวันแรกกับการนอนตื่นสาย ซึ่งเขาให้เหตุผลที่ว่า นี่คือการพักผ่อนจริงๆ (อย่างนี้แถวบ้านเรียกว่าข้ออ้าง ไม่ใช่เหตุผล)

แต่กับวันนี้ เจ้าพ่อคุณตื่นมาแต่เช้า เพื่อที่จะปฏิบัติภาระกิจอย่างหนี่ง คือ ขนมเค้กวันเกิดให้ฉัน ซึ่งงานนี้ได้ขอไว้เป็นพิเศษคือ French chocolate cake แบบ สองชั้น(เน้น 2 ชั้น)

ท้าวความ...

คนข้างกายของฉันเป็นคนที่ทำอาหารไม่เป็นเลย ถึงไม่เป็นที่สุด โดยเฉพาะพวกอาหารคาว
แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบกินของหวานโดยเฉพาะช็อกโกแลตเป็นชีวิตจิตใจ ใจมันเลยฝักใฝ่
ขวนขวาย ที่จะทดลองทำให้สิ่งที่ชอบ

แล้วก็ประสบผลสำเร็จดังคาด...

จากการทดลองชิมมาทุกครั้ง

ขอบอก... อร่อยมากถึง อร่อยที่สุด

เอส แอนด์ พี, กัลปพฤกษ์ ,เนลทราเวิล ,คอฟฟี่ บีน หรือที่ไหนๆ ที่กินมา ถ้าเป็นเค้กช็อกแล้วละก็ ต้อง

พ่อหนุ่มไอซ์แลนด์คนนี้ !!

มิได้ยกยอ ปอปั้น แค่ เจ้ดัน ดันๆให้เกิดเท่านั้นเอง ฮ่าๆ

คำไหนที่มันน่าหมั่นไส้นัก ก็อ่านผ่านๆไปแล้วกันนะ.

ต่อ...

เหตุที่เขาต้องตื่นเช้าเนี่ย คือเขาเป็นคนที่ทำไรพิถีพิถันมาก คือ ง่ายๆ เป็นคนทำไรช้า..ช้า..

แต่ก็ช้าแบบให้ความตั้งใจ และรอบคอบ ซึ่งกับบางอย่างก็นะ สปีดบ้างก็ได้เพ่!

กับเช้าวันนี้ ในครัวก็ถูกยึดเต็มพื้นที่ เพื่อจัดเตรียม ส่วนผสมต่างๆ

และด้วยความที่เป็นเค้กสองชั้นเนี่ย กับ ที่มีแม่พิมพ์ในการทำเค้กอันเดียว เขาเลยวางแผน ว่า งั้นอบสองที ซี่งก็กลายเป็นว่า ทำงานเหมือนกันทุกขั้นตอน แต่ทำซ้ำเหมือนกันอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ

ฉันเลย แยกตัวออกมานั่ง browse web ไม่เป็นแม้แต่ผู้ช่วย ปล่อยพี่ท่านยึดสนามไป

(บรรยากาศในครัว)


สาธยาย ส่วนผสมที่ฉันแอบเห็นในครัว..ใครสนใจเอาสูตรไปเลยไม่ห้าม แต่วิธีนั้นมาถามเขาเอง




วิธีการ...

*ชั่ง ตวง วัด ปั่น ผสม เคี่ยว เสียงเพลง พึม..พัม..(ได้ยินในบางช่วง) เสร็จแล้ว อบ ...เวลานี้ทั้งบ้านก็จะหอม อบอวลไปหมด


เมื่อเอาออกจากตู้อบแล้วก็นำไปตากให้เย็นโดยการจับเค้กตากข้างนอกระเบียงหลังบ้านนั่นแหละ
เพราะอากาศข้างนอกเย็นกว่าในบ้านเยอะ

จบกระบวนที่หนี่ง(ชั้นแรกของเค้ก)

ผ่านไปสองชั่วโมง ได้มั้งไม่ได้ดูเวลา แต่คงประมาณนั้นไม่หนีห่าง

เริ่มต่อกระบวนที่สอง...

ก็แค่ให้กลับไปอ่านตรงประโยคยข้างบนอีกทีที่มีเครื่องหมาย * ยาวลงมาเลยนะจ๊ะ

นั่นหละอย่างที่ว่า เหมือนกอภาพฉายซ้ำ อีกที ฮ่าๆ

คือเขาบอกว่า ผสมทีเดียวไม่ได้ เคยทำแบบชั้นเดียว ก็ต้องทำแบบนั้นไป แต่ทำสองทีเอา(อืม....)

เป็นอันเสร็จ..
จากนั้นประกอบร่างเค้กโดยซ้อนเค้กให้หนาเป็นสองชั้นตรงกลางระหว่างชั้น แทรกด้วยวิปครีมที่ผสมด้วยสตอเบอรี่สดบดหยาบให้มีกลิ่นและรสชาดปนเปรี้ยวเล็ก นี่ก็ไอเดียของเขาเองแหละ เพราะตอนแรกว่าจะแทรกด้วยวิปครีมเพลนๆระหว่างชั้นเฉยๆ

จากนั้นด้านชั้นบนสุดก็ตกแต่งด้วยวิปครีมปกติแล้วโรยด้วยเกล็ดช็อกโกแลตกับสตอเบอรี่สดผ่าเป็นซีกๆเสี้ยวๆตกแต่งเพิ่มสีสันและความเปรี้ยว ให้ตัดกับรสชาติที่หวานของเนื้อเค้ก

แล้วผลงานที่ใช้เวลากว่าห้าชั่วโมงของเขาก็เป็นอันเสร็จ จับแช่ตู้เย็นเพื่อให้วิปครีมทรงตัวดี

พอลงตัวกันทั้งคนและเค้ก

ก็แบ่งปันพี่ๆน้องๆหลานๆกินกันแบบกันเองนิดหน่อย

พอมีเหลือเสี้ยวสุดท้าย เดชะบุญ!! ฉุกคิดได้ ว่าลืมเก็บภาพ เลยคว้ากล้องมายิงสักสามสี่ shot พอเอางาม
แล้วประดับประดา จัดวางlay out ภาพด้วยข้อความเล็กๆนิดหน่อยเป็นที่รำลึก

ก็ออกมาด้วยประการละฉะนี้


ก็ผ่านไปด้วยความหอม ตั้งแต่เช้า อร่อยจรดเย็นกันไป

กับความรุ้สึกขอบคุณอย่างเหลือหลายกับวันนี้ที่ทำให้

ยังไม่จบ..

ตกเย็นมีคำถามจากเขาเบาๆว่า

วันนี้ทั้งวันรู้สึกอย่างไรบ้าง กับสิ่งที่ทำให้

แหมๆ...ทำมาทวงความดี!!

ก็เลยยกยอกันไป ยิ้มแฉ่ง แก้มปริ

แล้วก็เลยตบท้ายกลับไปด้วยว่า...

จริงๆแล้วคนที่จะรู้สึกดีีที่สุดเนี่ย น่าจะเป็นตัวเขามากว่าอื่นใคร

เพราะว่ากันแบบลึกๆแล้ว การที่ทำไรให้กับคนที่รู้สึกดีๆด้วยนั้น มันอิ่มสุขมากกว่าที่ได้ทำ

อิ่มใจมากกว่าผู้รับเสียอีก..

นี่คือประโยชน์ของการให้
(โดยไม่ต้องแอบทวง) ; )

Give more
Take less

ทฤษฏีอันนี้ใช้ได้แต่เฉพาะเรื่องเค้ก และบางเรื่องเท่านั้นนะ

ส่วนเรื่องเงินนั้นก็คนละเรื่องกันปาย ตกลงกันเองแล้วกาน..

อืม...แล้วเค้กชิ้นสุดท้ายที่เหลือในจานนี้หละ

สงสัยต้องลืมทฤษฏีเค้กไปชั่วขณะด้วยเช่นกัน

...

ขอรีบไปคว้าช้อนมาก่อนนะ

.....

Sunday, April 6, 2008

เรื่องเล่าผ่านเอ็ม (M)indfulness




MSN เป็นสิ่งหนี่งที่ทำให้เรากับน้องสาวเหมือนนั่งคุยกันได้ทุกวันในสารพัดเรื่องราว แม้ว่าเราจะอยู่ไกลกันคนละซีกโลก...

เซียง คือชื่อของน้องสาวร่วมสายเลือด

แล้ววันหนี่งอยู่ๆก็มาบอกว่า จะไม่ออนไลน์สักสิบวันนะ จะไปฝึกวิปัสนา พูดปุ๊บพรุ่งนี้เซียงก็หายหน้าจากเอ็มไปประมาณสิบวันอย่างที่บอก เพราะการไปคราวนี้ ไม่ว่าเทคโนโลยีสื่อสารใดๆก็ไม่อาจเข้าถึงได้ ทำเอาเรารู้สึกขาดอะไรบางอย่างไปอย่างถนัดใจ...

วันนี้ ก็มี ไอคอน smily โผล่มาจากเอ็มจากเซียง เราก็ดีใจตื่นเต้นอยากฟังเรื่องราวประสบการณ์การปลีกวิเวกของเซียงในครั้งนี้..

เราได้อ่าน แล้วรุ้สึกดีๆปนที่งไปด้วย..

เลยขอคัดลอก บอกต่อหากใครสนใจ เรื่องราวในครั้งนี้...

Sun คือชื่อในเอ็มของเซียง

sun says: (23:28:30)
ชีวิตประกอบด้วย ร่างกาย+ จิต
ร่างกาย อยู่ได้ด้วยอาหาร

เป็นพลังงาน ทำให้ตัวเองอยู่ได้ ไม่กินก้อเพลีย

ส่วนของร่างกายนี้ ก้อจะดึงอาหาร ไขมันที่สะสมอยู่ออกมาใช้ทดแทนหล่อเลี้ยงตัว

ให้อยู่ได้ แต่ถึงสามเดือน ก้อยังไม่กิน
ร่างนั้น ก้อจะตายหายไป (หรือเค้าจะเข้าใจว่า นี้คือการนิพพานของส่วน .ร่าง.

sun says: (23:31:32)
แต่อีกส่วน คิอจิต
อยู่ได้ด้วยความรู้สึกอยาก ความรู้สึกไม่อยาก กองทุกข์ต่าง ๆ
แต่เราวางใจให้เป็นอุเบกขา โดยที่เราสามารถทำใจให้เป็นกลาง กับความรูก้สึก แน่น โกรธ คับแค้น หรืออารมณ์ที่หวังผลตอบแทน
ไม่ไปรับรู้มัน ไม่ไปรับอาหารใหม่อย่างพวกมัน
จิตส่วนจิตสำนึก ไม่รับมันเข้าจิตอีก

sun says: (23:35:11)
จิตอยู่ไม่ได้ ก้อจะต้องไปดึงอาหารเก่า ๆ ที่จะสะสมอยู่จติใต้สำนึกเดิม ซึ่งอาจเดิม
ตั้งแต่เราเกิดมา หรือที่สะสมอยู่จากชีวิตก่อน
ขึ้นมาใช้ ถ้าเราไม่รับอารมณืใหม่เข้าไปอีก จิตก้อไปดึงกิเลสมาใช้ เรื่อย ๆ จนไม่มีกิเลสเหลือ
อยู่ให้กินอีก จติก้ออยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีอาหาร
จิตก้อต้องดับไป

patra says: (23:37:19)
อืมดีจังเข้าใจง่าย เห็นภาพ
sun says: (23:37:30)
จิตพระพุทรเจ้า ก้อเช่นเดียวกัน จิตท่านดับไปเป็นศูนย์เพราะไม่มีกิเลสพอกเหลืออยู่ที่จิตเลย
patra says: (23:37:56)
อยากกลับไทยไปฝึกเหมือนกัน
sun says: (23:38:19)
ไว้มาเมื่อไร จองให้ได้
sun says: (23:38:50)
จิต = จิตสำนึก + จิตใต้สำนึก
จิตสำนึก เราคอนโทรลได้อยู่แล้ว ล้างกิเลสเมือไรทำได้แต่ไม่หมด
เพราะจิตยังอีกส่วนประกอบที่สำคัญคือจิตใต้สำนึกซึ่งมีอิทธิพลมากถึง 90% ของร่างกายที่เข้าไปรับรู้ถึงกิเลสต่าง
sun says: (23:42:27)
(ต่อ) จิตใต้สำนึก ซึ่งมีอิทธิพลมากถึง 90% ของร่างกายที่เข้าไปรับรู้ถึงกิเลสต่าง ๆ
หรื่อโกดังหลักในการเก็บกิเลส ถ้าเราไม่ล้างกิเลสส่วนนี้
เราก้อล้างกิเลสในจิตไม่ได้
จิตก้อบริสุทธิ์ไม่ได้
patra says: (23:43:42)
อืม
sun says: (23:44:38)
จิตที่พอกหรืออาบด้วยกิเลสเรานี้ จึงมีอาหารอยู่ เราจึงนิพพานไม่ได้
และเมือจิตยังไม่บริสุทธิ์อยู่ ก้อจะล่องลอย
ไปฝังตัวเกิดในร่างใหม่ เรื่อย ๆ ไม่รู้จบ แล้วถ้าร่างใหม่ พอกกิเลสให้จิต ครวาวนี้ก้อจะหนักไปเรื่อย จนแก้ยาก

sun says: (23:48:24)
เป็นวิบากกรรมต่อ ๆ กันไป พระพุทธเจ้าเองก้อต้องเกิด 10 ชาติ หรือ 10 ร่างกาย กว่าจะลอกกิเลสออกจากจิต จนบริสทุธิ และจิตก้อดับไป(เพราะจิตไม่มีอาหารหลงเหลือแล้ว อ่ยู่ไม่ได้ไง)
ไม่ต้องเกิดอีกเลย
พระอรหันต์ทุกองค์ก้อเป็นเช่นั้น ไม่ต้องเกิดอีก เพราะล้งกิเลสออกจากจิตได้หมดจดนั่นเอง
sun says: (23:51:40)
ทีนี้ วิธีล้างจิตให้สะอาด ไม่รับกิเลสใหม่ และล้างกิเลสสะสมเก่า คือการนั่งวิปัสสนา
เค๊านั่งวันละไม่ต่ำกว่า 8 -10 ชั่วโมง ไม่คุยกับใครตลอด 10 วันยกเว้นเจ้าหน้าที่ธรรมะ
กินเจตลอดแต่ได้คุย 1 คำกับเพื่อนที่ไปนั่งวิปัสสนา ว่า โอเค
sun says: (23:54:37)
(ต่อ)ทีนี้ วิธีล้างจิตให้สะอาด ไม่รับกิเลสใหม่ และล้างกิเลสสะสมเก่า คือการนั่งวิปัสสนา ซึ่งการนั่งให้ถูกวิธี อาจารย์เค้าจะค่อย ๆ สอน ๆเข้าใจง่าย ปฎิบัติง่าย
เค๊าก้อทำตามไปเรื่อย ๆ ก้อได้พบปรากฎการณ์ทางจิต ชนิดมหัศจรรย์เลยทีเดียว
sun says: (23:57:38)
1 จิตเป็นพลังงานที่มีอนุภาคสูงมาก สามารถเข้าไปรับรู้ความรู้สึกทั้วผิวหนังของร่างกาย รวมถึงอวัยวะภายใน ปอดไตม้ามได้หมดว่าข้างในรู้สึกอย่างไร ดีหรือไม่ดี ถ้าดี จิตจะรับความรู้สึกได้ว่า มีความรู้สึกแผ่วเบาสบาย จิตเดินทางผ่านได้ไม่ติดขัด
sun says: (23:58:42)
ถ้าช่วงใหนมีดี จิตเราจะรู้สึกว่า ตรงนั้น แน่นตึงบีบคั้นรุนแรง คันอย่างแรงปวด
นี่สื่อจิตใต้สำนึกมีส่วนกิเลสประเภทนึงอยู่ อาจจะไปความโกรธกลัว วิตกกังวล
อาจารย์สอนว่าอย่างนั้น ว่าความรู้สึกส่วนนั้น เป็นอย่างนั้น เพราะในใจลึก ๆ มีกองทุกข์อยู่นี้ ซึ่งน่าจะเป็นทุกข์ประเภทโกรธกลัวนี้

sun says: (0:02:59)
(ถ้าถามคิดได้ไง ว่าความรู้สึกไม่ดี แสดงออกถึงความทุกข์ และเป็นความทุกข์ประเภทนี้ อาจารย์บอก
ต้วองปฎิบัติและรับรู้ด้วยตัวเอง เพราะธรรมะเป็นเรื่องของการปฏิบัติพิสุจน์ของจริงด้วยตัวเองเท่านั้น)
sun says: (0:06:33)
เค้าก้อไม่รู้ว่าทำไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า ต้องปฎิบัติจริง จะรับรู้ได้เอง เพราะ? เพราะว่า ถ้าเค๊าไม่ปฎิบัติด้วยตัวเอง ครั้งนี้ เค้าคงไม่ได้ ประจักษ์(ใช้คำนี้เลย) ว่า จิตเป็นพลังที่อนุภาคสูงมาก ที่เคีาสามารถใช้ เพื่อเพิ่งผ่านหรือสแกนร่างกายเค้าได้ทั้งหมด ทุกรูปแบบ ความเร็วสูงสุด จนไม่คิดว่า จะมีพลังงานใดวิ่งได้เร็วเท่านี้
ข้อ 2. อาการตึงแน่นบีบคั้น
ถ้าไม่นั่งวิปัสนา ไม่เคยรู้สึกเลยได้ขนาดนี้ อาจจะพอรู้บ้างว่า(ช่วงมีจิตสำนึก ตรงนี้เส้นคอตึงบ้าง ไม่ตึงบ้าง) แต่พอนั่งแล้วนำจตไปรับรู้ส่วนนั้น แล้วเค้ารู้สึกว่า มันเจ็บปวดคั้น ได้จนหัวข้างซ้ายจนถึงคอล่างจะระเบิดเลย
sun says: (0:11:03)
ในครั้งแรก ป้าที่นั้งวิปัสฯมานาน เขาบอกว่า เราคงมีอีกอะไรในจิต เก็บไว้เยอะมากอัดอั้นอยู่
sun says: (0:13:54)
เค็ายังคิดในใจ ป้าพูดอะไร ตลกดี เพราะเส้นเอ็นที่คอมันตึงของเก่านั้นเอง พอเพ่งกระแสจิตมาก ๆ มันจึงบีบคั้นมากขึ้นเรื่อย แต่พอนั่งไปสักพัก ปฎิบัติตามอาจารย์ ว่า ให้เดินจิตไปผ่านส่วนอื่น ๆ ที่มีความรู้สึกแผ่วเบาก่อนทั่วร่างกาย แล้วค่อยกลับพิจารณารับรู้ วางอุเบกเขากับส่วนนี้ทีหลัง
sun says: (0:16:32)
พอเดินจิต(เค้าของใช้คำว่า สแกนจิตละกัน) แสกนจติไปรอบ ๆร่าง ตรงหัวซ้ายก้อแผ่วเบา ที่นี้ก่อนจะแสกนเข้าทางซ้ายของหัว ไปแสกนด้านขวาก่อน เพราะด้านขวาเหมิอนไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลยเหมือนเป็นจุดอับ บอด ทำให้ด้านขวาเกิดความรู้สึกมากขึ้น ไปบาล้านกับความรู้สึกของหัวฝั่งซ้าย
sun says: (0:17:11)
(อาจารย์บอกว่าเราต้องเดินจิต ไปรับรู้ส่วนของร่างกายที่แสกนไปแล้วไม่พบความรู้สึก หรือรู้สึกน้อยมากด้วย เพระาถือเป็ฯจุดอับ ทึบ อาจเป็นอีกกอง ของทุกข์ในใจได้
sun says: (0:18:17)
เค้าเลยเดินจิตส่วนหัวด้านขวา พอเพ่งหัวด้านขวา เริ่มมีความรู้สึกเกิดขึ้นไปบ้าง
sun says: (0:20:02)
เค็าก้อหันมาแสกนทางซ้าย ซึ่งที่เคยหนักมาก ก้อเบาขึ้น พอเริ่มเบา เขาตั้งจิตวางในอุเบกขาสัก 2 นาที มันเบาขึ้น เรื่อง ๆ จนเดินจิตไล่ และ dissolve มันได้ หายไปจากหัวซ้ายหมดเลยความรู้สึกหนักอึ้งทั้งหลาย
sun says: (0:20:56)
ก้อเปลี่ยนเป็นเบาสบาย คราวนี้ก้อแสกนจิตผ่านหัวทางซ้ายได้คล่องตัวแล้ว เมื่อได้หัวซ้าย การเดินจิตก้อจะเป็นลักษณะ Free flow
sun says: (0:22:23)
flow ไปได้ตลอดทั้วร่างกาย เค้าเลยสแกนจิต ทั่วร่างกายกลับไปมาบนลงล่าง ล่างขึ้นบน ซ้ายไปขาว ขวาไปข้าง และแสกนหนักช่วงมดลูก ช่วงกระดูกสันหลังด้านหลังที่ปวดบ้างบางครั้ง
sun says: (0:22:45)
ความรู้สกึของเค๊าช่วงนี้คือ
เบาสบายร่างกาย เหมือนมันว่างไปหมด
sun says: (0:23:44)
ข้อ 3 แผ่เมตตา
ท้ายสุด อาจารย์บอกว่า เมือ่เรานั่งวิปัสฯจนล้างกิเลส ได้มากมาย ถถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงความแผ่นกุศลอันยิ่งใหญ่นี้ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ เจ้ากรรมนายเวร ให้เป็นสุข พ้นทุกข์โดยทั่วกัน
sun says: (0:26:55)
เค็าก้อพูดไปตามอาจารย์ แล้วอธิฐานว่า ถึงแม้ช่วงเค้านั่ง อาจเดินจิตตลอดทั่งร่างกายได้แล้ว แต่ก้อมีบางส่วนติดอยู่ในช่วงแรก
sun says: (0:28:39)
บ้าง ไม่สามาถ Free flow ได้ตลอด ก้ออยากแผ่กุศลนี้ด้วย แผ่ส่วนที่ Free flow นี้(Free flow = จิตว่างไม่ติดขัด จิตบริสุทธิ์ ซึงแม้จะเป็นได้ขณะเดียวก้อตาม) ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก ด้วย
sun says: (0:29:07)
ให้มีความสุขโดยทั้วหน้ากัน รวมถึงครอบครัวของข้าพเจ้า
sun says: (0:29:27)
พออธิฐานจบคำนี้นะ เชื่ออะไรปะ
sun says: (0:30:07)
หน้า ตี๋เล็ก ลอยมาชัดเจนอยู่ทางซ้านด้านหน้าของเค็า หน้า ป๊าลอยมาทางด้านขวาหน้าของเค๊าเต็มชัด
sun says: (0:30:28)
เค๊าเลยรีบอธิฐานบอกชื่อเล็ก กับป๊า ในทันที
sun says: (0:30:45)
ร้องไห้เล็ก ๆ ด้วยความดีใจ อิ่มใจที่กุศลถึง
เล็ก และป้า ในรูปแบบที่มหัศจรรย์จริง ๆ

sun says: (0:31:49)
ข้อ 4 การทำงานของจิตใต้สำนึก ที่ไม่เคยรู้มาก่อน
คือเค้านั่งสมาธิตั้งแต่ตี 4.30 ถึง 21.30 ทุกวัน พักบ้างแต่ 80% คือนั่ง

sun says: (0:33:44)
นั่งไปนาน ช่วงกลางนั่งไปแล้วรู้สึกเบาสบาย ทีนี้มาจับความรู้สึกที่แขนซ้ายขวา อืม เราจับนอ่งอยู่นี่นะ เกร็งอยู่นิดนึง

sun says: (0:34:07)
เลยปล่อยมือทั้งสองข้างจากตัก ดูซะว่ามันจะลอยได้เลย
ปรากฎว่ามือมันลอยอัตโนมัติ เหมือนวัตถุมันเคลื่อนได้ตั้วเอง
อัตโนมัติแล้วตัวมันก้อเบามาก ๆ สักพัก
ตัวร่าง เค๊าไม่เห็นตัวร่าง ของตัวเอง
แต่กลายเป็นคล้ายกับกลุ่มธาตุแล้วมีละอองพ่งไปมากเล็ก ๆ
ตอนนี้พอรู้ตัวนะ แล้วก้อ ความรู้สึก คือ มหัศจรรย์ เป็นไปได้ไง

sun says: (0:36:50)
ก้อคิดไปว่า นี่ไงที่พระพูทธเจ้าบอกว่า ร่างกายมนุษย์ไม่มีอะไร พอนั่ง
วิปัส ฯ ลึก ๆจะรับรู้ว่า มันเป็นเพียงกลุ่มธาตุพลังงาน ดินน้ำลมไฟ เป็นอย่างงี้หรือเปล่านะ
ถ้าไม่เจอด้วยตัวเอง ให้ตาย ไม่มีทางเชื่อ
คงเริ่มจากปล่อยมือจากตักนั่นแหล่ะ อยากลองอยากรู้ว่าถ้าทดลองแบบอื่นๆ แล้วเป็นไงถึงใหน

sun says: (0:38:21)
ก้อเป็นอย่างนี้
sun says: (0:39:15)
พอร่างกระจายเป็ฯกลุ่มธาตุได้สักพัก ระฆังดังขึ้น เลยคิดในใจ นี่เป็นความมหัศจรรย์ที่เราได้ลองแล้ว ก้อพอแล้ว เรายังใหม่อยู่ เดี่ยวค่อยปฎิบัติใหม่แล้วพนามือออกจากห้องปฎิบัติเดี่ยวนี้ไป
แล้วไปถามอาจารย์ อาจารย์บอกว่า ให้สังเกตุความรู้สึกที่ผิวหนังเท่านั้น

sun says: (0:41:12)
หลงทางแล้ว ให้อุเบกขากับความรู้สึกที่ผิวหนังเท่านั้น ต้องอยู่กับร่างกายเท่านั้น
sun says: (0:42:19)
เค๊าว่าอาจารย์ต้องรู้อะไร มากกว่าแนะนำว่าหลงทาง ให้สังเกตุความรู้สึกทางผิวหนังเท่านั้น
sun says: (0:43:00)
เค็าว่า 1 อาจารย์ต้องรู้ว่า เค้าลองส่งใหม่ มากเกินไป จนเข้าไปใน Status จิตแยกจากกายได้
sun says: (0:43:36)
ถึงบอกเค๊าว่า ต้องอยู่กับ่ร่างกายเท่านั้น เพราะเค๊ายังไม่มาก เดี่ยวจิตไม่กลับเหมือนคนขวัญหาย
sun says: (0:44:04)
2 อาจารย์ต้องว่า เค็าฟุ้งซ่าน:D
แต่หลังจากวันที่ 10 เค็าก้อเรื่องไปถามคนที่เคยปฎิบัติมาหลายครั้ง บางคนก้อว่า เค๊า Advance มาก ๆ ขนาดเห็นกลุ่มธาตุ ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกว่า กะละสังกัปปะ
sun says: (0:50:08)
บางคนก้อว่า มีมารพจญ จะแยกจิตไป วันหลังห้ามนั่งวิปัสฯ คนเดียวในห้องปปฎิบัติเดี่ยวนะ
เค็านะ กลัวมากเลยเลยไม่ไปนั่งวิปัจ ในห้องปฎิบัติเดี่ยวอีก
sun says: (0:51:17)
ข้อ 4 (ของความมหัศจรรย์ทีเค๊าค้นพบ)
ก้อคือ เมือเริ่มเดินจิตผ่านผิวหนังใหม่ เดินไม่เป็น เดินเร็วปรู้ด ๆ ไปเรื่อย มั้วสับสน ไม่รู้สึกอะไรเลย
ไม่เห็นมีอะไรเลย
เลยเอาใหม่ เดินช้า ๆ ทีละจุดจุด ในช่วงเดินผ่านผิวหนังล่างขึ้นบนช่วงกระดูสักหลังของช่วงหลังนะ
ช่วงเดินเป็นคู่ ขนาบกระดูกสันหลังซ็าย ขวา จากล่างขึ้นบน เหมือนเห็นภาพในใจขนาด Close up ว่ามีมีขั้วกระแสใหญ่ ๆ ค่อยพาดผ่านแต่ละจุด ๆ ตามการเดินของเค๊าเลย ซึ่งทึง่มาก
เลยไปถามอาจารย์ อาจารย์บอกว่า ถ้ามีสมาธิสูงลึกมาก ๆ จะเห็นว่า ร่างกายจริง ๆ แล้วทำงานอย่างนี่นี่เอง
sun says: (0:58:46)
Save ไว้นะ
sun says: (0:58:57)
เค๊ากัอกลัวลืมเหมือนกัน
sun says: (0:59:21)
เดี่ยวยังมีเรื่องจี้ มาเล่าให้ฟังขำกลิ้งตกเก้าอี้อีกด้วย
sun says: (0:59:34)
และเรื่องที่อยากเล่า
1 พัดแห่งสติ
2 กางเกงในห้องน้ำ
3ทางเดินแห่งสติ
เก็บไว้เด่ยวมาเล่าให้ฟัง Save ไว้นะคราวนี้นอนหลับได้ละบอกแล้วอย่าให้เล่า