Monday, December 31, 2007

ภาพน่ารัก





สายตาที่แม่จดจ่อกับการตั้งใจฟังอ่านคำทำนายเซียมซีจากน้องชายของฉัน ที่วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี มองแล้วมันน่ารักสะกิดใจดี ความรู้สึกใสๆที่ได้จากหญิงสูงอายุคนหนี่ง มองภาพนี้ทีไรอยากเข้าไปหอมสักฟอดให้หายมันเขี้ยวซะจริงๆ







มุมร้านกาแฟน่ารักๆด้วยภาพกราฟิตี้ โฆษณาอยู่ด้านข้างของกำแพงร้านด้านนอก
เดินเล่นเพลินๆสะดุดตากับน้องการ์ตูนหน้ากลม ยกถ้วยเชิญชวน คนเดินเท้าให้ก้าวเข้าในร้าน เห็นแล้วคงต้องยกกาแฟซดสู้กับน้องการ์ตูนเขาสักหน่อย






ระหว่างพักกลางวัน หลังอาหาร คว้ากล้องมาเดินย่อยริมทะเลสาบ กับอุณหภูมิประมาณ- 4 องศาเห็นจะได้สระน้ำใหญ่กลางเมือง เรคยาวิค กลายเป็นพื้นนำแข็งขนาดเท่าสนามหลวงบ้านเรา สะดุดตากับเป็ดน้อยตัวหนี่ง เดินบิดหางไปมา บนพื้นน้ำแข็ง ด้วยทีท่าโดดเดี่ยว คงกำลังควาญหา พื้นน้ำเพื่อที่จะว่ายล่องสักหน่อย งานนี้เหนื่อยหน่อยนะจะ ทนเดินไปก่อน ทีท่าว่าจะละลายใช้เวลานานอยู่

เป็ดเอ๋ย ..เป็ดน้อย...ความรู้เจ้ายังด้อยเร่งศึกษา เพื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพ..อ้าว..เอ๊ะ ...ไงเนี่ยเรา!

พรรณาล้วนๆ




ถ้าเราเงียบ อาจทำให้หัวใจเราพูดเสียงดังมากขี้น
ถ้าเราฝันทำให้เรารู้ว่า เรายังคงอยู่
ถ้าเราได้เดินตามความฝัน ทำให้เราเข้าใกล้ความเป็นจริง
ถ้าเราพบความสำเร็จ เราจะพบรูปร่างความฝันของเรา
.
.
ความฝันไม่เคยหลอกใคร
มีแต่นักฝันเท่านั้นที่่หลอกตัวเอง
.
.
ชีวิตมีคำถามมากมาย ซี่งในขณะที่คำตอบมีน้อยนัก
เราคงเหนื่อยกับการค้นหาคำตอบทุกคำถาม
การเงียบและนิ่งเฉยกับบางคำถาม มันไม่ได้หมายความว่าเราตีบตัน
เราเพียงแค่ เก็บแรงไว้ตอบคำถามที่มีความหมายกับชีวิตจริงๆ
.
.
.
รอยยิ้มนางงาม มอบให้เราเพื่อยกค่าเธอ
รอยยิ้มของเด็กที่เราเพิ่งได้แบ่งปันอาหารกัน
มันยกค่าชูใจเรา ได้ติดทนนานดีแท้
.
.
.
  แค่คำพรรณา ที่คิดมาได้ ก็เขียนไป(ได้) บางทีคิดได้แต่ก็ถ่ายทอดเรียงร้อย ได้ไม่เนียนลื่นตาคนอ่านนัก ก็เก็บไว้อ่านในใจคนเดียวดีกว่า

 สำหรับภาพสเก็ตน้องหัวแกะผมหยิกหยอยนั้นได้รับความอนุเคราห์จาก น้องสาวต่างสายเลือด ที่ส่งภาพนี้มาเป็นภาพสเก็ตที่ฉันได้วาดไว้ในยามเพลินๆใจช่วงเวลาหนี่ง ส่งมาเตือนใจว่าได้เขี่ยอะไรเอาไว้

กับสิ่งที่เราไม่ได้คิดถึง แต่กับอีกคนหนี่งเก็บความทรงจำไว้ให้
ขอบใจนะต๋อม

Wednesday, December 26, 2007

น้ำแข็งใส ใส่หัวใจ ที่Husavik




วันนี้ที่นี่ กับหมู่บ้านเล็กๆที่มีประชากรในหมู่บ้านไม่เกินกว่า สองพันห้าร้อยคนเท่านั้่นเอง หากเทียบแค่ซอยในกรุงเทพบ้านเราแล้ว คงทวีคูณจำนวนได้หลายเท่ามากมายนัก เพียงแต่พี้นที่ อากาศ ที่มีน้อยนักเราคงต้องแบ่งปันกันมากกว่าคนที่นี่มากหน่อย ชีวิตในฤดูหนาวที่นี่ เย็นและเงียบ ผู้คนส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตการตามปกติ ทำงาน อยู่บ้านอุ่นๆ สีสันมีแต่พอเพียง กับชีวิตชนบทที่นี่ ทุกอย่างในหมู่บ้านนี้มีค่อนข้างสมบูรณ์ในสัดส่วนของชุมชน โรงเรียน สถานพยาบาล สถานที่ท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์ รองรับคุณภาพชีวิตคนที่นี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเท่าที่สิทธิทุกคนพีงมี

ลอดสายตาผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ในบ้านที่อุ่่นทั้งอุณภูมิและ ความอุ่น จากใจของคนในบ้านนี้
วันนี้อากาศข้างนอกคงสดชื่นและเย็นสะท้านดีแท้นักด้วยอุณหภูมิที่ติดลบ หิมะละลายยังไม่ทันเป็นน้ำดีนัก อุณหภูมิความเย็นจัดครอบคลุมพื้นที่หมู่บ้านก็มาทำให้น้ำที่ละลายอยู่จับตัวเป็นแข็งใส น่าลื่นล้มดีจริงๆ

มลพิษที่นี่เรียกได้ว่าตีค่าเป็น​ศูนย์ สูดออกซิเจนกันได้ตุงปอด หากไอเย็นไม่เข้าไปทำให้ปอดแข็งซะก่อน (ฮ่าๆ งานนี้ไม่มีตับแข็งนะคะ) หาผู้คนเดินตามถนนหนทางน้อยมากๆ นานๆจะมีคนห่อหุ้มกันลมกันความเย็นกันตัวหนาปั๊ก เดินปุ๊กๆ อยู่ตามถนนว่างๆ

บ้านเรือนที่นี่ เหมือนฉากละคร เวลาเดินเล่นเมืองนี้ทีไรนึกว่าตัวเองเป็น ตัวละครที่แสดงอยุ่ บ้านน่ารักๆหลังเล็กๆ ตีกรามมีก็ไม่สุูงมากนัก แต่บ้านเรือนพักอาศัยก็จะเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว รูปแบบบ้านก็แตกต่างกันตามสไตล์ แต่ที่จะขาดการเน้นเสียไม่ได้ของประเทศนี้คือ หลังคา สารพัดสีมาก หลังคาบ้านที่นี่ ถ้ามองจากมุมสูงแล้วจะเห็นจุดยุทธศาสตร์ได้ชัดเจนมาก สีสดใสเต็มๆตา คือประมาณว่า ตัวอาคารโทรมแค่ไหนไม่ว่า ขอหลังคาข้าแจ่มแจ๊ดไว้ก่อน

ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะเป็นเมืองชนบท แต่ชีวิตคนที่นี่ก็ติดเทคโนโลยีไม่แพ้เมืองไหนในโลก อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ต่างๆใช้เทคโนโลยีทันสมัย แทบทุกบ้าน มีโลกไซเบอร์กผ่านคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างการดำเนินชีวิตไม่ต่างจากคนเมืองมากนัก หากแต่ในบรรยากาศที่สงบและโอบล้อมด้วยธรรมชาติมากกว่า ความใสซื่อในคนเมืองกับคนชนบทนั้นก็คงไม่ต่างจากบ้านเรา

คนที่อยู่ในโลกของกิเลสน้อยกว่าย่อมมีพื้นที่ทางใจแบ่งปันให้ผู้อื่นด้วยความจริงใจได้มากกว่า

สวัสดีปี ชวด(ภัย ไร้โรค)



เคยถามเพื่อนคนหนี่งชาวแคนนาดาซี่งพี่ง
กลับมาจากเที่ยวไทยก่อนช่วง คริสมาสต์
ว่า ประเทศเมืองของเธอตอนนี้(ที่แคนนาดา)คงสีสันสว่างไสวช่วงคริสมาสต์กันน่าดู แล้วคำตอบกลับของเขากลับ พาให้เรา รุ้สึก อี้ง ว่า "น้อยกว่าที่กรุงเทพ" แล้วก็ได้แต่ว้าว กรุงเทพ ยังคงพรั่งพร้อมต้อนรับทุกเทศกาลมิให้ขาดช่วงบันเทิง เราเองอยู่ไกล ไม่ได้สูดกลิ่นอายบรรยากาศในช่วงนั้นเลย คงน่าอิ่มฟูหัวใจทั้งแสงสี ผู้คน และสีสันของราตรี

คงไม่ต้องแปลกใจนานกับคำตอบของเพือนชาวต่างชาติ ตั้งสติสักพัก ก็คงนึกภาพเดิมๆที่เคยเป็นมาช่วงเทศกาลยามนี้เหมือนปีก่อนๆ หากแต่สไตล์รูปแบบ
ดีสเพลย์แสงไฟอาจแต่งต่างกันไปบ้าง แต่ยังคงความฟู่ฟ่าของแสงสีได้คงเส้น
คงวา แล้วก็นึกถึงต้นคริสมาสต้นไหญ่ๆที่หน้าโรงแรมแห่งหนี่งกลางใจเมืองสูงยิ่งกว่าสิงโตที่นครสวรรค์ต่อตัวกันเสียอีก แล้วก็คงพร่างพราวด้วยดวงไฟระยิบระยับ ห่อหุ้มรูปทรงต้นสน ให้กระจ่างสว่างเกือบทั้งถนนราชดำริ

หากเทียบต้นคริสมาสต์กลางเมืองในไอซ์แลนด์แล้วคงจ๋อย หงอยไปถนัดตาจริงๆ คิดแล้วอยากขนต้นคริสมาสต์หน้าโรงแรมนั้น มาสวมทับต้้นคริสมาสที่นี่จังเลย คนไทยแม้เงินในกระเป๋าแฟบไปบ้าง แต่หัวใจเราฟูได้ทุกเทศกาล นี่คือความน่ารักของคนไทย เรารักความรื่นเริง มีเทศกาลไหน ไม่ว่าของชาติหรือศาสนาใด เราเปิดใจ ร่วมด้วยช่วยบันเทิง ลา ลา ลา...

โชคดี มีสุขภาพดีถ้วนหน้าทุกครัวเรือนค่ะ