ขอนำชื่อหนังสือเล่มหนี่งมาพาดหัวเรื่อง เป็นนวนิยายที่ประพันธ์โดย นักเขียนชาวฝรั่งเศส นามว่า Jules verne โทษทีสะกดด้วยคำไทยไม่ถูกจริงๆ จูลส์ เวียน หรือไรเนี่ยแหละ
ที่ได้นำชื่อเรื่องมาเกี่ยวข้องด้วยนี้นั้น เพราะเพิ่งได้ไปเยี่ยมชมสถานที่ๆหนี่ง ที่ต้องทำให้นึกถึงชื่อของหนังสือเล่มนี้
เพราะเรื่องราวของหนังสือผจญภัยในแนว science fiction นี้ ได้นำเอาสถานที่ที่ไปแอ่วมา มาเป็นจุดเริ่มต้นเล่าเรื่องในนวนิยาย โดยการผจญภัยเริ่มต้นที่ดินแดนแห่่งหนี่งชื่อว่า snæfellsjökull (อ่านว่า สไนเฟลเยือเริ่มต้นกคึร์ )เป็นชื่อภูเขาธารหิมะแห่งหนี่งในไอซ์แลนด์ ตั้งอยุ่ที่ปลายแหลมๆหนี่งที่ยื่นไปในทะเล ทางด้านตะวันตกของประเทศ ในการเดินทางในนิยายคือดำดิ่งเข้าไปสู่ใจกลางภูเขาลูกนี้ไปสู่ใจกลางลึกของโลก ระหว่างทางก็มีการประสบกับเหตุการณ์ต่างๆตามแนวหนังผจญภัย ไปตลอดทั้งเรื่องราว...
มาที่การเดินทางของเรากันดีกว่ากับเรื่องจริงไม่อิงนิยาย
Snæfellsjökull...
แปลตรงๆตัวคือ ภูเขาหิมะธารน้ำแข็ง เป็นภูเขาไฟที่เคยเกิดประทุขี้นเมื่อคริสตศักราชที่ 200 แล้วก็สงบนิ่งเช่นนี้มานานกว่าเกือบสองพันปี
เคยได้วางแผนกับคนข้างเคียงหลายครั้งแล้วว่าจะไปที่Snæfellsjökull แต่ก็ไม่ได้โอกาสเหมาะเสียที กับวันนี้ ตอนเริ่มบ่ายคล้อยๆ หันหน้้าละสายตาจากเครื่องคอมพิวเตอร์กันทั้งคู่ แล้วก็เสนอไอเดียกันว่าน่าจะไปที่ไหนสักที่เถอะเพื่อสูดอากาศภายนอกพักสายตาจากเจ้ามอนิเตอร์ซะที ไม่งั้นก็นั่งจมกันอยู่แบบนี้ตลอดบ่ายเป็นแน่แท้
ว่าแลัวก็ตกลงกันว่าไปที่ๆเราหมายปองกันไว้ดีกว่า คาดว่าขับรถคงใช้เวลาไปกลับแค่สี่ชั่วโมง ตอนแรกๆต่างคนก็ต่างลังเลกันเพราะมองไปที่ท้องฟ้า มีเมฆหนาลอยไปลอยมากวนสายตาอยุ่ แล้วเวลาในการเดินทางก็ไม่มากเพราะนี่ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสามแล้ว แต่ก็เอานะ เป็นไงเป็นกันวันนี้แหละ
อัดน้ำมันเต็มถังพร้อมลุย...
ระหว่างการเดินอย่างที่คาดการไว้ คืออากาศดีเป็นช่วงๆ แต่ส่วนใหญ่ท้องฟ้าจะค่อนข้างครี้ม มีแดดส่องมาในบางที่ประปราย ไม่จัดจ้าเท่าที่ควร แต่ก็ใครสนนะ คงต้องเที่ยวแบบไม่สนปัจจัยรบกวนต่างๆ ไม่งั้นสิ่งที่ตั้งเป้าหมายที่จะทำ คงคลาดเคลื่อนไปจากนี้อีก
ทุกอย่างอยู่ที่ใจเนอะ ฟ้าครี้ม ภายนอก แต่ข้างในใจตอนนี้ ครี้มใจ ดีนักที่ได้เดินทาง
ขอบรรยายบรรยากาศอย่างกระชับ(มากๆ)แล้วกันนะ อะแฮ่ม!
...ฝนตก..แดดออก..ฟ้าหม่น... ฝนตก...แดดออก..แวะทักกับแกะ...แวะถ่ายรูปกับม้า....
นั่งในรถไปนานๆ ทำไมมันยังไม่ถึงสักทีหว่า ไหนบอกว่า สองชั่วโมงไง พ่อตัวดี! นี่ปาเข้าไปสามชั่วโมงแล้วนะ พอเริ่มเลยชัวโมงที่สามของการเดินทางมาก็เห็นยอดวิปครีมรำไรๆ อา...คงที่นี่แหละในที่สุด ดินแดนที่นี่ตรงนี้ที่ได้ยินมาว่าคนไอซ์แลนด์เชื่อกันว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ยังไงนั้นไม่รู้ข้อมูลจริงๆไว้สืบมาให้ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้มา ตรงนี้หรือเปล่าหว่าที่เป็นความศักดิ์สิทธิ์
เมื่อมาถึงทางขี้นเขา เราก็ชั่งใจกันว่าอืม บิ๊กแจ๊สของเราจะกลายร่างเป็นรถ 4 wheels drive ได้หรือเปล่าก็ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี่นะ อะไรก็เป็นไปได้ สุดท้ายแล้วก็ไม่รอความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ 2 wheels drive บวกกับอีกสี่ขาเนี่ยแหละ ลองปีนดู
พอได้ขี้นมาบนเส้นทางจริงๆแล้วทางที่ปีนป่ายมาก็ไม่ได้โหดมากนัก คงมีสิ่งอำนวยหลายอย่าง อากาศดี ไม่มีลมโชกแรง พื้นถนนไม่เปียกแฉะ แต่ก็ยังขับไปเสียวไป แล้วก็ปีนมาถึงเกือบปลายยอดเขาจนได้ ที่นี่คงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์จริงๆอะนะ พารถบิ๊กแจ๊สของเรามาถึงเกือบทางขี้นถึงตรงนี้จนได้ แค่นี้ก็น่าภูมิใจแทนเจ้าตัวเล็กแล้ว
น่าเสียดายที่ปลายยอดวิปครีม(ปลายเขา) ถูกเมฆก้อนโต take over อยู่ คลุมมิดยอดเขาเชียว
แต่ยังดีที่มีวิวสวยๆอีกด้านมาปลอบใจ เพราะจากตรงจุดเดียวกันนี้กวาดสายตาไปอีกด้านรอบๆ ราวกับว่ามีภาพเพ้นท์สีผืนใหญ่จากจิตรกรฝีมือชั้นเยี่ยม ขึงพาดยาวตลอดแนว180 องศาของแนวขอบโลกเลยทีเดียวให้ชื่นชม
ขอพรรณาจากตาที่ได้เห็นให้ฟังหน่อยเถอะ
ท้องฟ้าถูกป้ายระบายกลมกลืนไปกับท้องมหาสมุทรอย่างไร้เส้นขอบฟ้ากั้นแนว
เมฆเกาะกันเป็นกลุ่มบ้าง กระจายบ้าง อย่างได้จังหวะ บ้างก็แผ่เป็นระลอกเต็มท้องฟ้าตามทิศทางแรงลม
ภาพเบื้องล่างพื้นแผ่นดินระนาบเดียวกับท้องมหาสมุทร ดูเป็นเหมือนอีกโลก ด้วยสีบรรยากาศในระยะไกลตัดกันกับจุดที่ยืนอยุ่ในขณะนี้
ของแบบนี้อ่านด้วยตาพิสูจน์ไม่ได้ มาดูภาพบางซีนพิสูจน์กันดีกว่า
มะ..เบิ่งกัน...
เพื่อนน่ารักระหว่างทาง ทักทายให้กำลังใจ
ภาพมองลงมาจากบนภูเขาที่ยืนอยู่
เมฆลอยเกาะเกี่ยวเหนี่ยวแน่นกับยอดปลายเขา
บิ๊กแจ๊ส
ปลายยอดเขาอีกลูกกับภาพฉากหลังไกลๆ ที่ผืนน้ำและผืนฟ้า เนียนเข้าหากันจนไร้เส้นขอบฟ้า
สูดอากาศชุ่มปอด ชื่นบานกันไปอีกงาน
ครั้งนี้ขอแค่มาตรวจการก่อนนะ
ไว้กลับมาอีกคราวหน้าจะหาโอกาสดีๆที่ไม่ให้เมฆมายึดพื้นที่บนยอดปลายเขาบังสายตาที่มุ่งมั่่นของเราไปได้...
ขอขับมอเตอร์ไซต์หิมะ บนนี้ สักรอบเป็นบุญของ แอส หน่อยเถอะ
ใครสนใจบ้าง
ไปกัน!