Saturday, March 15, 2008

ตามล่า Northern light

เสียงโทรศัพท์ดังจากพี่ที่น่ารักคนหนี่ง เสียงแจ้วๆ แว่วออกมาว่า ออโรร่า เต็มฟ้าเล้ย.. เท่านั้นแหละ เปิดประตูระเบียงหลังบ้านผั๊วะ กะจ๊ะเอ๋ เต็มที่ แต่ไม่มี คงสถานที่ไม่เป็นใจ วิ่งออกมาดูอีกด้านก็เจอพบเธอเข้าจนได้ แต่พี่ออโรราคงอาย เลยเผยโฉมให้ดูเพียงแผ่วๆในเวลานั้น


สามปีกับการเฝ้ารอคอยว่าสักวันจะได้เห็นแม่หญิงงามออโรร่านางนี้สักที แบบวาดลวดลายรำร่ายเต็มที่เต็มท้องฟ้ากับอาภรณ์ของเธอในหลากหลายสี ที่พริ้วไหวไปมาอย่างอ่อนนุ่ม


แต่ยังไม่เจอเธอเต็มๆสักที...


ในคืนนี้ฟ้าโปร่งสนิท ดาวเต็มฟ้า พระจันทร์ถูกผ่าซีก อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง หนาวได้ที่ ทุกอย่างเป็นใจ บวกกับเสียงจากพี่ผู้หวังดี เตือนสติได้ว่า วันนี้สิโอกาสที่จะเห็นมีสูง หลังจากเสียงโทรศัพท์ จัดการแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อป้องกันความเย็นของอากาศภายนอก เพื่อภารกิจตามล่า Northern Light หรือแสง ออโรรา

พ่อคนดีใกล้ตัวเป็นใจใหญ่ เป็นเพื่อนตามล่าด้วยคน ประสานมือกันเป็นสัญญาน เพื่อตอกย้ำว่า วันนี้แหละ แม่นางออโรราต้องใจอ่อนเผยโฉมให้ได้เห็นอย่างไม่มีข้อบิดเบือน

สตาร์ทรถ บึ่ง ไปยังที่ในโลเกชั่นที่เหมาะสม ที่สามารถมองเห็นได้มุมกว้าง และไม่มีแสงรบกวนจากแสงของไฟถนนของเมือง เราสรุปกันว่าไปที่ เพิร์ล (รายละเอียดของเพิร์ลได้ตามลิ้งค์ที่ปรากฏอยู่ด้างล่างจอภาพ คลิกเลย)

ในระหว่างเส้นทางล่าแสงอยู่นั้น ยังไม่ทันถึงเพิร์ล มองออกนอกกระจกรถ นางเริ่มบรรเลงลางๆให้เห็นแล้วอดรนทนไม่ไหว จนต้องจอดรถขอชมหน่อย ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนใจ เราเห็นเธอแค่วอร์มอัพเท่านั้นเอง อาภรณ์ของเธอเป็นสีเขียวซี่งคิดว่าคงเป็นสีโปรดของเธอเพราะทุกครั้งที่ได้เคยเห็น(แบบลางๆ)ก็เป็นสีนี้

เธอร่ายตัวเองโอบคลุมเป็นแนวยาวของผืนฟ้า เราต้องแหงนมองแล้วร่ายสายตาไปตามอาภรณ์ของเธอจากเหนือจดใต้ของแนวท้องฟ้า อาภรณ์พริ้วไหวอย่างแผ่วเบาแปรรูปร่างเคลื่อนไหวได้อย่างนุ่มนวล ท่วงทำนองดนตรีในวันนี้เป็นเพลงจังหวะช้าๆเบาๆที่เราต้องเงี่ยหูฟัง พร้อมกับจับตาดู MV ของเธออย่างตั้งใจ แม้ว่าเราจะคาดหวังว่ามันจะต้องเพอร์เฟคกว่านี้ แต่เท่านี้ในว้นนี้เราก็ปลาบปลื้มยิ่งนักแล้ว เธอร่ายรำได้ไม่นานนักคงต้องไปแสดงที่อื่น แล้วแฟนอย่างเรา มันยังไม่หนำใจเพียงเท่านี้ ออกปฏิบัติการตามล่าเธอต่อ

เพิร์ล..ร้านอาหารที่มุมสวยที่สุดของเมืองอยุ่ในตำแหน่งที่สูงมองเห็นวิวได้รอบเมือง เราคิดว่าที่นี่่จะเหมาะสมแต่ปรากฏว่า เราหนีไฟเมืองยังไงก็ไม่พ้น เพราะเราดันเห็นไฟได้ทั้งเมืองในในระดับตำแหน่งนี้ แต่ก็เอานะ ที่สวยไม่แม้กันก็คือ ดวงดาว เต็มท้องฟ้า ที่ไม่ขอน้อยหน้า ส่งแสงระยิบระยับแข่งกับไฟของเมืองอยู่

เธอมาอีกแล้ว.. อาภรณ์สีเดิม แต่ตอนนี้เธอไม่ร่ายรำโอบท้องฟ้าแล้ว เธอออกจังหวะสเต็ปเล็กๆเท่านั้นเอง กับเสียงเพลงที่แผ่วเบาเหมือนเดิม(อย่าเข้าใจผิด จริงๆแล้วเสีียงเพลงที่ว่าคือความรุ้สึกและจิตนาการของฉันเองที่แปลจังหวะการเปลี่ยนรูปร่างของแสงเบื้องหน้าเป็นท่วงทำนอง)

พอตั้งท่าจะถ่ายภาพเธอไว้เท่านั้นแหละ เธอก็เบี่ยงหนีหายไปอย่างแผ่วๆ ทิ้งไว้แต่เพียงปลายอาภรณ์ของเธอหลงเหลือไว้ให้ได้บันทึก

สองเรานักล่ายังไม่ท้อ ยังเฝ้ารอเผื่อว่าเธอจะกลับมาเฉิดฉายให้เราชื่นชมอีกรอบ เอ่ยปากอ้อนวอนรบเร้า เธอก็ยังไม่มา จนกระทั่งเราคิดว่า ชั่วโมงนี้เธอคงเหนื่อยแล้ว ส่วนเราสองคนนั้นก็เกือบแข็งกันแล้วในอุณหภูมิเวลานั้นอยู่ที่ -5 องศา เราก็เลยตัดสินใจกันว่าโอเคชื่นชมแต่พองามไม่งั้นมีหวังเป็นหวัดกันงอมดูไม่งามแน่

เรายังคงมีโอกาสได้พอเจออีกเป็นแน่ แต่ไม่ว่าเธอจะมาในอาภรณ์ใด ลีลาไหน หนาวเหน็บเพียงไร เราก็ขอเงยหน้าชื่นชมเธอในทุกๆคราไป หากได้รับรู้ว่าเธอปรากฎกาย

ขอสักครั้งเถอะนะ สักครั้งที่ได้เห็นเธอเต็มๆแบบแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างครบครัน ร่ายรำทุกกระบวนท่าแบบไม่กั๊ก ให้เป็นบุญตาสักหน่อยเถอะ แล้วจะไปประกาศบอกคนย่านบางแคว่า ฉันได้เจอนางงามแห่งขั้วโลกแล้ว!!

ศึกษาประวัติของเธอได้ ที่นี่

แล้ววันหนี่งจะกลับมาอีกพร้อมแกลเลอรี่ของเธอที่เห็นด้วยตาด้วยเลนส์ของตัวเอง...